ที่จู่ๆ ผลไปออกที่ “วันมูหะหมัดนอร์ มะทา” หัวหน้าพรรคประชาชาติ ที่มีเสียง ส.ส. ในมือเพียง 10 เสียง คว้าพุงปลา ขึ้นนั่งเก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประมุขนิติบัญญัติไปครอง โดยมีเสียงสนับสนุนจาก 8 พรรคร่วม เข้าวินไปแบบชิลชิล ทามกลางเสียงสรรเสริญว่า มีความเป็นกลาง ประสบการณ์สูง เหมาะสมทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิ ถือว่าเหมาะสมแล้ว

แกะรอยเกมร้อนเก้าอี้ประธานสภาครั้งนี้ ไม่ได้ลงตัวง่ายๆ เดิมพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย ต่างก็ยื้อขอตำแหน่งเป็นเจ้าของ โดยมีการเจรจาทั้งทางลับและทางสว่างกันหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่ถูกใจทั้งด้อมส้ม ติ่งแดง จนดีลสุดท้ายคืนวันที่ 2 ก่อนวันโหวต 1 วัน ปรากฏชื่อ “วันนอร์” ลอยออกมาจากปาก “หมอชลน่าน” น.พ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย โดยอ้างว่า เพื่อความลงตัวทั้ง 2 พรรค และเราจะได้เดินหน้าในการจัดตั้งรัฐบาล 8 พรรคร่วมประชาธิปไตยต่อไปได้ 

เมื่อเกมพลิกออกมาแบบนี้ ต่างก็ฟันธงเลยว่า พรรคเพื่อไทยชนะยกแรกไปแล้ว โดยใช้ความเก๋าตีกินเนียนๆ เพราะหากย้อนไปดูสายสัมพันธ์แล้ว จะเห็นว่า พรรคประชาชาติ ไม่ใช่คนอื่นไกล เกิดมาจากยุทธการแตกแบงก์พันของนายห้างดูไบ เมื่อครั้งเลือกตั้งปี 2562

ขณะที่การโหวตสอง 2 ประธาน ผลออกมาเป็นไปตามที่ได้ตกลงพรรคเพื่อไทย โดยคุมเสียงไม่ให้แตกแถว ส่งให้ “หมออ๋อง” ปดิพัทธ์ สันติภาดา ขึ้นเป็นรองประธานสภา คนที่ 1 ด้วยเสียง 312 เสียง โดยมีเสียงโหวตจากมือที่มองไม่เห็นมาโหวตให้ด้วย

สถานีต่อไปที่ต้องจับตา คือ การโหวตนายกรัฐมนตรี โดย “วันนอร์” ได้มีการนัดประชุมรัฐสภา กำหนดเลือกนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 13 ก.ค. นี้ โดยจะมีสมาชิกที่ประกอบไปด้วย ส.ส. 500 คน และ ส.ว. 250 คน รวมทั้งสิ้น 750 คน ซึ่งผู้ที่จะขึ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ จะต้องผ่านด้วยเสียงโหวตจากที่ประชุมรัฐสภา ด้วยจำนวน  376 เสียง

งานนี้แคนดิดตนายกฯ ไม่ได้มีเพียงแค่ “พ่อทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของก้าวไกล แต่ยังมีแคนดิเดตจากพรรคการเมืองอื่นที่น่าสนใจและต้องจับตามอง โดยพรรคเพื่อไทย จะมีชื่อ ของ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร, “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน ขณะที่พรรคภูมิใจไทย มี “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล พรรคพลังประชารัฐ มี “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ มีทั้ง “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ซึ่งได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่ง ส.ส. และล่าสุดออกมาขึ้นเนื้อเพลงความฝันอันสูงสุด ท่อนแรกที่ว่า “ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ ขอสู้ศึกทุกเมื่อไม่หวั่นไหว ขอทนทุกข์รุกโรมโหมกายใจ ขอฝ่าฟันผองภัยด้วยใจทะนง” ที่หลายคนมองว่า นี่คือสัญญาณสู้ต่อ ยังไม่ยอมแพ้  

กระแสการเมืองตอนนี้ต้องพุ่งเป้าไปที่ “พิธา” ที่ต้องเผชิญด่านหินที่ ส.ว. ติดใจและไม่สบายใจ พร้อมประสานเสียงไม่เอา “พ่อทิม” พิธา นั่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 เพราะในการหาเสียงที่ผ่านมา มีการเสนอแนวคิดและมีการกระทำพฤติกรรมการแสดงออก แล้วแสดงเจตนาที่ส่อไปในทางที่ไม่น่าไว้ใจ ไม่ว่าจะเรื่องการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 การเสนอนโยบายที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ทั้งการแบ่งแยกดินแดน การปลุกระดมคนในแต่ละพื้นที่ให้แยกตัว โดยอ้างกระจายอำนาจให้แต่ละจังหวัดมีผู้ว่าฯ มีงบประมาณต่างคนต่างใช้กันเอง ซึ่งเป็นแนวคิดที่อันตราย รวมไปถึงแนวคิดการปฏิรูปกองทัพ ลดจำนวนคน ลดงบประมาณ ที่เสี่ยงเกินไปในยุคปัจจุบัน และยังมีส่วนที่กระทบต่อสถาบัน เสนอลดงบประมาณแล้ววิพากษ์วิจารณ์ไปในทางเสียหาย

อีกทั้งยังมีปมคุณสมบัติ จากการถือหุ้นสื่อไอทีวี ที่ ส.ว. มองว่า ยังไม่มีความชัดเจน อยู่ระหว่างขั้นตอนที่ กกต. กำลังพิจารณา จึงยังไม่เหมาะสมที่จะขึ้นนั่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

จนทำให้บรรดา ส.ว. สายอนุรักษนิยม อย่าง “เสรี สุวรรณภานนท์-สมชาย แสวงการ” ต่างพากันออกมาก่อกำแพงปิดประตู ย้ำจุดยืนว่า ถ้าพรรคก้าวไกลยังยืนยันแก้มาตรา 112 ส.ว. ก็จะไม่มีทางโหวตให้ นอกจากนี้ยังมี ส.ว. ตังตึงอีก 1 คน คือ “กิตติศักดิ์ รัตนวราหะ” ที่ได้ออกมาตะโกนเสียงดังขอยื่นคำขาดให้พรรคเพื่อไทยได้คิด ภายใต้เงื่อนไข หากจะให้ ส.ว. จะยอมโหวตคนของพรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรีเข้ามาจัดตั้งรัฐบาล พรรคเพื่อไทยก็ต้องสลัดพรรคก้าวไกลออกไปก่อน ไม่ให้เข้าร่วมรัฐบาล แต่ถ้ายังมีพรรคก้าวไกลติดอยู่ ก็จะไม่โหวตให้

เกมนี้ต้องดูท่าทีของพรรคเพื่อไทย ในท้ายที่สุดแล้วยังจะกอดคอพาพรรคก้าวไกล ไปเป็นรัฐบาล 8 พรรคร่วมประชาธิปไตยด้วยกัน หรือจะถีบพรรคก้าวไกลไปเป็นพรรคฝ่ายค้านตามที่ ส.ว. ต้องการ จะมีการพลิกเกมเปลี่ยนขั้วตามที่ ส.ว. ต้องการหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ การฝ่าด่านหินครั้งนี้ ต่างพากันฟันธงว่า “พิธา” ไปไม่ถึงฝั่งฝันแน่นอน แต่ใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี

งานนี้ก็อยู่ที่ประธานรัฐสภา ภายใต้การทำหน้าของ “วันนอร์” ในฐานะประธานรัฐสภา จะทำคุมเกมในสภาให้เกมนี้ออกมาอย่างไร จะยื้อในการโหวตนายกฯ ให้โอกาสกับ “พ่อทิม” พิธา ไปถึงเมื่อไหร่ และเกมสภาจะเร้าร้อนขนาดไหน จะรับมือกับพวก “พ่อส้มทิม” ได้หรือไม่ ต้องมาวัดกันในวันโหวต ขณะที่ “พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน” ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ออกมาตีกรอบ ถึงการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ไว้ที่ 3 ครั้ง ครั้งแรกวันที่ 13 ก.ค. ครั้งที่ 2 วันที่ 19 ก.ค. และครั้งที่ 3 วันที่ 20 ก.ค. ถ้ายังไม่ได้ ก็จะคุยกันใหม่

การเมืองไทยไม่มีสูตรตายตัว และถ้า “พิธา” ตกสวรรค์ พรรคร่วมรัฐบาลอาจจะไม่ใช่ 8 พรรคร่วมประชาธิปไตย อาจจะมีการสลับขั้ว ย้ายข้าง เลยมีดีลลับ ดีลลวงออกมาเป็นระลอกๆ บวกกับกระแสที่ “นายห้างดูไบ” ทักษิณ ชินวัตร อยากจะกลับบ้านเสียเต็มประดาแล้ว ดังนั้นสูตรสมการทางการเมือง อาจจะมีการเปลี่ยนพลิกขั้วกันได้ตลอดเวลานับจากนี้    

จับอาการได้จากการโยนหินถามทาง ของพรรคร่วมรัฐบาลเดิมขั้วลุงๆ ยึกยักออกอาการ เตรียมเสนอชื่อแคนดิเดตของพรรคตัวเองส่งขึ้นมาแข่งชิงนายกรัฐมนตรี ถ้านับนิ้วพรรคร่วมรัฐบาลเดิม ประกอบด้วย พรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา จะมีคะแนนในมือรวมแล้วเกิน 180 เสียง ถ้ารวมกับเสียง ส.ว. อีก 250 เสียง รวมเสียงแล้วเกิน 376 เสียง แต่จะออกมาเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ซึ่งอาจจะมี ส.ว. บางคนไม่เห็นด้วย เพราะไม่อยากให้รัฐบาลเสียงข้างน้อยขึ้นมาบริหาร และอาจจะปิดสวิตช์ตัวเองไม่โหวตให้ แต่เชื่อว่ามีไม่มาก

ถ้าสูตรการโหวตนายกรัฐมนตรีออกมาเป็นซีกรัฐบาลเดิม ที่มีเสียงข้างน้อย โดยให้ ลุงป้อม พล.อ.ประวิตร์ เป็นนายกรัฐมนตรี หรือ หวยจะไปออกที่ “พีระพันธุ์” ที่ลุงตู่ให้แต่งตัวรอมาเป็นตัวแทนชิงนายกฯ แล้วส่งผลให้ 8 พรรคร่วมประชาธิปไตย ไปเป็นฝ่ายค้าน ก็จะเจอกับวิบากกรรม ทั้งด้อมล้ม และติ่งแดง ที่พร้อมจะเป็นทั้งหนามตำเท้า และห่ากระสุนสาดเข้าใส่ ลากพวกลงถนน เพราะฝ่ายค้านจะเป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร กลายเป็นว่ารัฐบาลเสียงข้างน้อย มีอายุไม่นาน เดินหน้าไปต่อได้ยาก หากมีการเสนอกฎหมายสำคัญๆ เข้ามา ก็อาจจะถูกคว่ำกลางสภาได้ง่ายๆ

แต่ถ้าเป็นสูตรพลิกขั้วเพื่อไทยสลัดก้าวไกลมาจับมือกับขั้วรัฐบาลเดิม โดยผลักลุงๆ ไปเป็น “บีฮายด์ เดอะ ซีน” ก็ต้องเจอพวกด้อมส้มพากันลงถนน เปิดศึกนอกสภาจัดม็อบเผชิญหน้ากับรัฐบาลไม่เว้นแต่ละวันแน่นอน ตามคำขู่ของพวกด้อมที่เคยประกาศไว้ จะทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟเร็วขึ้น เพราะจะมีทั้งด้อมส้มแท้ ด้อมส้มเทียม ออกมาสร้างสถานการณ์ป่วนเมือง เปิดทางให้รถถังใช้ความชอบธรรมออกมาสงบศึก

สุดท้ายประเทศไทยตกหลุมดำ กลับเข้าไปสู่วังวนเดิม คนรับกรรม คือ ประชาชนตาดำๆ!!.