เมื่อวันที่ 9 ก.ค. จากกรณีที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ ได้แถลงข่าวเปิดใจเกี่ยวกับคดีที่ถูกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ฟ้องศาลกล่าวหานายธาริตกลั่นแกล้งให้ถูกดำเนินคดีในเหตุการณ์ชุมนุมของ นปช. เมื่อช่วงปี 53 ศูนย์ ศอฉ. โดย นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ได้ออกคำสั่งให้ทหารใช้อาวุธปืนสงครามเอ็ม 16 เข้าสลายการชุมนุม ซึ่งทำให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 2,000 คน และเสียชีวิต 99 ศพ และนายธาริตที่เป็นอธิบดีในขณะนั้น ฟ้องดำเนินคดีต่อบุคคลทั้งสอง และต่อมานายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ มีการฟ้องคดีกลับนายธาริตและเจ้าหน้าที่คนอื่นรวมเป็นจำเลย 1-4 มีการต่อสู้คดีจนมาถึงชั้นศาลฎีกา และกลายเป็นคดีดังที่เกิดการเลื่อนอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกามายาวนานมากกว่า 1 ปี

โดยนายธาริตมีความประสงค์จะร้องขอให้ศาลฎีกาได้โปรดเมตตาคืนความยุติธรรมให้แก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ซึ่งถึงแก่ความตาย 99 ศพ พร้อมครอบครัวผู้สูญเสีย และผู้บาดเจ็บอีก 2,000 คน รวมถึงตัวนายธาริต กับพวกที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐผู้รักษากฎหมายด้วย พร้อมน้อมรับคำตัดสินของศาลฎีกา

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าว นสพ.เดลินิวส์ และเดลินิวส์ออนไลน์ ได้สรุปคดีดังกล่าว และเรียงไทม์ไลน์การขอเลื่อนคดีของนายธาริต จำเลยที่ 1

น้ำตาคลอ! ‘ธาริต’ ดับเครื่องชนแฉคดี 99 ศพ ต้นตอปฏิวัติ เปิดคำขู่สารพัด ‘บิ๊กทหาร’

ทั้งนี้ในวันพรุ่งนี้ (10 ก.ค.) จะเป็นการนัดอ่านคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลฎีกา ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลฎีกา คดีหมายเลขดำที่ อ.310/2556 โดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ผอ.ศอฉ.) ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI), พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อดีตหัวหน้าชุดสอบสวนคดีการเสียชีวิตของประชาชน, พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ และร.ต.อ. ปิยะ รักสกุล ในฐานะพนักงานสอบสวน เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนกระทำการโดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้ผู้อื่นได้รับโทษอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 200 วรรคสอง กรณีนายธาริตกับพวก แจ้งข้อหาดำเนินคดีนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ ฐานสั่งฆ่าประชาชน ในการสลายม็อบ นปช.เมื่อปี 53 โดยจำเลยทั้งสี่ ให้การปฏิเสธต่อสู้คดี

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์ ขอให้ลงโทษพวกจำเลย โดยศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า พวกจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษากลับให้จำคุกจำเลยคนละ 3 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยไว้คนละ 2 ปี ไม่รอลงอาญา

ต่อมาจำเลยทั้งสี่ ยื่นฎีกา

นัดอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาครั้งแรก เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.64 นายธาริต จำเลยที่ 1 ไม่ได้มาศาลเนื่องจากย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา จึงไม่ได้รับหมาย

นัดอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 10 ก.พ.65 ทนายความของนายธาริตยื่นคำร้องต่อศาลพร้อมใบรับรองแพทย์ของโรงพยาบาลพญาไท 2 ว่า นายธาริตจำเลยที่ 1 มีอาการชักเกร็งและหมดสติเป็นเวลากว่า 5 นาที หลังได้สติมีอาการแขนขาข้างซ้ายอ่อนแรง ขณะนี้ได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลซึ่งแพทย์วินิจฉัยว่านายธาริตเป็นโรคเส้นเลือดในสมองอุดตันเฉียบพลันต้องได้รับการรักษาเร่งด่วนไม่เช่นนั้นจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต และต้องเฝ้าระวังอาการแทรกซ้อนเป็นเวลาอย่างน้อย 1-2 เดือน

นัดอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 21 เม.ย.2565 นายธาริต จำเลยที่ 1 มีอาการหายใจไม่ออก อ่อนเพลีย เนื่องจากผลกระทบภายหลังหายป่วยจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และแพทย์ลงความเห็นว่าจะต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลา 3 เดือน มิฉะนั้นอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตโดยครั้งนี้ ทนายจำเลยที่ 1 นำเงินมาวางต่อศาลเพื่อบรรเทาความเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสอง คนละ 3 เเสนบาท รวม 6 แสนบาท และยื่นคำร้องขอให้ศาลส่งสำนวนคดีนี้พร้อมพยานหลักฐานใหม่อันเป็นข้อสำคัญในคดีไปยังศาลฎีกาเพื่อประกอบการพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกา ทนายโจทก์ที่ 1-2 แถลงว่า ไม่ขอรับเงินดังกล่าว

นัดอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.65 ศาลตรวจสำนวนแล้วพบว่าไม่สามารถส่งหมายแจ้งวันนัดให้กับนายธาริต จำเลยที่ 1 ได้ ยังไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์แจ้งว่า “ส่งไม่ได้ เขาย้ายไม่ทราบที่อยู่” ทั้งนี้ศาลได้กำชับนายประกัน และจำเลยอื่นให้ติดต่อนายธาริตอีกด้วย

นัดอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 7 ก.ย.65 ทนายของ นายธาริตจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องพร้อมใบรับรองแพทย์ว่า จำเลยที่ 1 ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ต้องเข้ารับการรักษาที่ รพ.พญาไท 2 อีกทั้งจำเลยที่ 1 จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงเพราะเป็นโรคเบาหวาน ความดัน เส้นเลือดในสมองตีบ ประกอบกับคดีนี้มีนางพะเยาว์ อัคฮาด ญาติผู้ตายได้ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความฝ่ายที่สาม และทนายจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอส่งสำนวนคืนศาลฎีกา กรณีจึงไม่อาจอ่านคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลฎีกาได้

นัดอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.65 ทนายของนายธาริต จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่านายธาริต เจ็บป่วยเป็นโรคนิ่วในไตทั้งด้านซ้ายและด้านขวา มีอาการปวดอักเสบรุนแรง มีเลือดออกมาพร้อมปัสสาวะ จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาตัว ที่โรงพยาบาลพญาไท 2 ด้วยการผ่าตัดนิ่วทั้งสองข้าง ใช้เวลารักษารวม 4 เดือน และจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่เป็นคดีหมายเลขดำที่ รฟ1/2565 คดีดังกล่าวอยู่ ระหว่างไต่สวน ซึ่งหากศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชนะคดี อาจมีผลต่อการใช้ดุลพินิจในการ ลงโทษจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ ทั้งในคดีนี้ได้มีญาติของผู้เสียชีวิตบางรายยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความ แต่ยังอยู่ระหว่างระยะเวลายื่นคำคัดค้านคำร้องดังกล่าว

นัดอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาครั้งที่ 7 เมื่อวันที่ 2 ก.พ.66 ทนายของนายธาริต จำเลยที่ 1 แถลงต่อศาลว่า นายธาริตได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์ในวันที่ 29 ม.ค.66 โดยแพทย์ได้ทำการผ่าตัดส่องกล้องผ่านท่อไตและใส่สายระบายเลือดไว้ในท่อไตทั้งสองข้าง จำเลยที่ 1 จำเป็นต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลเพื่อพักฟื้นและต้องติดตามอาการเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อประเมินสภาพไตและก้อนนิ่วอีกครั้ง ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยที่ 1 ขอเลื่อนคดีโดยอ้างเหตุเจ็บป่วยมาแล้วหลายครั้งเป็นเวลากว่าหนึ่งปี น่าเชื่อว่าการที่ นายธาริต จำเลยที่ 1 ไม่มาศาลเป็นการประวิงคดีให้ล่าช้า ตามพฤติการณ์จึงมีเหตุให้เชื่อว่านายธาริตจะหลบหนี จึงให้ออกหมายจับจำเลยที่ 1 เพื่อนำตัวมาฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลฎีกาต่อไป

นัดอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาครั้งที่ 8 เมื่อวันที่ 24 มี.ค.66 ครั้งนี้นายธาริต จำเลยที่ 1 เดินทางมาศาลทนายจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ส่งสำนวนคืนศาลฎีกา เพื่อพิจารณาสั่งให้ส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปรับปรามการทุจริต มาตรา 4 ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับแก่คดี ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 3 วรรคสอง มาตรา 5 วรรคแรก มาตรา 26 , 27 , 29 วรรคแรก ส่งผลให้กฎหมายดังกล่าวเป็นอันใช้บังคับกับคดีไม่ได้ และนายธาริต ขอถอนคำให้การฉบับเดิมและขอให้การใหม่เป็นรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาของโจทก์ทั้งสอง เพื่อประกอบการใช้ดุลพินิจของศาลฎีกา ในการลงโทษจําเลยที่ 1 สถานเบา หรือรอการลงโทษจำเลยที่ 1

นัดอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาครั้งที่ 9 เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.66 นายธาริตขอเลื่อนเนื่องจากมีอาการป่วยบ้านหมุนพร้อมใบรับรองเเพทย์ ส่วนอีกฉบับเป็นคำร้องเพิ่มเติมที่เคยให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไปก่อนเเล้ว

ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า นายธาริตใช้อาการเจ็บป่วยเป็นคำร้องขอเลื่อนการฟังคำสั่งคำพิพากษามาแล้วหลายครั้ง และมีหลายครั้งที่มีใบรับรองแพทย์จาก พญ.อยุทธินี สิงหโกวินท์ จากโรงพยาบาลพญาไท 2 แต่พบว่าการลงลายมือชื่อในใบรับรองแพทย์แต่ละครั้งไม่เหมือนกัน เพื่อไม่ให้เกิดความล่าช้า ศาลฎีกาให้ศาลชั้นต้นกำหนดนัดอ่านคำพิพากษาภายใน 30 วัน ให้ไต่สวนใบรับรองแพทย์และแพทย์หญิงคนดังกล่าว และอาการป่วยของจำเลยที่ 1 ว่ามีอาการเจ็บป่วยจริง เเละไม่สามารถเดินทางมาศาลได้ตามกำหนดนัดเป็นข้อเท็จจริงถูกต้องหรือไม่

โดยวันที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมา ศาลนัดไต่สวนใบรับรองเเพทย์ โดยเบิก พญ.อยุทธินี มาไต่สวนและได้รวบรวมบันทึกคำให้การส่งศาลฎีกาพิจารณา และศาลนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาในวันที่ 10 ก.ค.นี้

สุดท้ายนี้ ต้องให้สังคมไทยได้ลุ้นและจับตาดูว่าวันพรุ่งนี้จะมีผลสรุปจบคดีได้หรือไม่ ขอให้ติดตามได้ทุกช่องทางของ เดลินิวส์