เมื่อวันที่ 6 ก.ย. ที่ กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ นายทรงชัย เนียมหอม ประธานกลุ่มประชาภักดิ์พิทักษ์สถาบัน (ปภส.) พร้อมตัวแทน เดินทางยื่นเอกสารถึง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กรณีทวงคืนความเท่าเทียมของสังคม ประเด็นการควบคุมดูแลนักโทษเด็ดขาด ทักษิณ ชินวัตร เป็นพิเศษจริงหรือไม่ ก่อให้เกิดกระแสสังคมขยายเป็นวงกว้างถึงแนวทางเลือกปฏิบัติเหนือนักโทษเด็ดขาด หรือผู้ต้องขังรายอื่นทั่วประเทศกว่า 200,000 ราย โดยมีนายวัลลภ นาคบัว รองปลัด ยธ. และในฐานะโฆษก พร้อมด้วยนายปริญญ์วัฒน์ เปี่ยมปิ่นวงศ์ หน.ศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม เป็นตัวแทนรับเรื่อง

นายทรงชัย เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากนายทักษิณ มีอาการนอนไม่หลับ แน่นหน้าอก ความดันโลหิตสูง ระดับออกซิเจนปลายนิ้วต่ำ เมื่อคืนวันที่ 22 ส.ค. จึงได้ย้ายรักษาตัวต่อที่ รพ.ตำรวจ จนถึงขณะนี้ แต่ไม่พบมีการรักษาอื่นใด เช่น การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจการทำบอลลูนหรืออื่นใด มีเพียงข่าวจากแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ แจ้งอาการของโรคประจำตัว รวมระยะเวลา 15 วัน ทำให้วันนี้ตัวแทนกลุ่มฯ เกิดความไม่ไว้วางใจกรมราชทัณฑ์ ขอให้มีการสืบสวนสอบสวนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ ว่ามีการดูแลตามขั้นตอน และนำตัว นายทักษิณ เข้าไปในเรือนจำพิเศษฯ จริงหรือไม่ จึงมาขอหลักฐานกับทางกระทรวงยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่งหรือคลิปวิดีโอ เพื่อยืนยันว่า นายทักษิณ มีการเข้าไปในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จริงหรือไม่ ทั้งส่วนของภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และในส่วนของการพักอยู่ในโรงพยาบาลตำรวจ

นายทรงชัย เผยอีกว่า สำหรับอาการป่วยของ นายทักษิณ มีการสอบสวน วินิจฉัยโรคอย่างไร แนะนำให้มาชี้แจงอาการป่วยต่อประชาชนและสังคมภายนอกรับทราบโดยทั่วกัน พร้อมขอข้อมูลการวินิจฉัยโรค เพราะโรคประจำตัวทั่วไปของกลุ่มผู้สูงอายุที่กระจายอยู่ทั่วประเทศและในเรือนจำทั่วประเทศ การดูแลรักษาพยาบาล หากไม่ใช่การเข้ารักษาเพื่อผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ การผ่าตัดบายพาสเส้นเลือดหัวใจ การผ่าตัดใส่หัวใจเทียม แพทย์จะทำการนัดตรวจ ให้ยากลับไปกินที่บ้าน และเป็นการนัดพบแพทย์แบบไปกลับ จึงเป็นเหตุให้สงสัยว่ามีความจำเป็นต้องนอนพักรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ แบบไม่มีกำหนดกลับเข้าเรือนจำหรือไม่

ด้านนายวัลลภ กล่าวว่า ขอบคุณทุกกลุ่มทุกฝ่ายที่ให้ความสนใจ ขณะนี้มีหลายกลุ่มเคลื่อนไหวในเรื่องดังกล่าว โดยทางกระทรวงยุติธรรม จะประสานตามอำนาจหน้าที่ เพื่อนำข้อมูลข้อเท็จจริงมาเปิดเผยให้ประชาชนทราบโดยทั่วกัน

นอกจากนี้ ช่วงบ่ายวันเดียวกัน กลุ่มประชาภักดิ์พิทักษ์สถาบัน ยังเดินทางไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ยื่นหนังสือแจ้งให้เข้าจับกุมผู้ต้องหาตาม ป.อาญา ม.112 ที่อัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้อง นายทักษิณ นักโทษหนีคดีออกนอกประเทศร่วม 15 ปี โดยกำลังรักษาตัวอยู่ที่ รพ.ตำรวจ โดยหนังสือระบุเนื้อหา “ตามข้อมูลที่ตรวจพบกรณี พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม และ ผบ.ทบ. ในฐานะเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สั่งให้เจ้าหน้าที่กรมพระธรรมนูญ ไปแจ้งความเอาผิด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่ประเทศเกาหลีใต้ และพูดพาดพิงสถาบันฯ และได้มีการออกหมายจับนายทักษิณไปแล้ว รวมทั้งอัยการสูงสุดได้มีคำสั่งฟ้อง เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 59 แต่ผู้ต้องหาหลบหนี อัยการสูงสุดได้แจ้งให้ ผบ.ตร. ขณะนั้น ให้จัดการติดตามผู้ต้องหาให้ได้มาภายในระยะเวลา 15 ปี ซึ่งคดียังไม่ขาดอายุความ บัดนี้ นายทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางกลับมายังประเทศไทย อยู่ในการควบคุมของกรมราชทัณฑ์ ล่าสุดปรากฏเป็นข่าวพักรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ ข้าฯ จึงทำหมายนี้มายังท่านเพื่อขอเข้าพบผู้บัญชาการตำรวจ ณ กองบัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเข้ายื่นหนังสือให้ท่านดำเนินการตามกระบวนการกฎหมายโดยเร่งด่วน เนื่องจาก นายทักษิณ ชินวัตร มีพฤติกรรมหลบหนีคดีต่างๆ ออกนอกประเทศรวม 15 ปีเศษ ข้าฯ เกรงว่าหากท่านยังชักช้าจะไม่ทันการ อาจส่งผลให้มีการหลบหนีคดีอีกครั้ง”