เมื่อวันที่ 28 พ.ย ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการ รมว.มหาดไทยและโฆษกกระทรวงมหาดไทย (มท.) กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติร่างกฎกระทรวงกำหนดวันเวลาเปิดปิดของสถานบริการ (ฉบับที่….) พ.ศ. … ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยสาระสำคัญ ของร่างกฎกระทรวงฯ จะกำหนดให้สถานบริการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ดังต่อไปนี้ เปิดให้บริการได้ถึงเวลา 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้นได้ ได้แก่ สถานบริการที่ตั้งที่อยู่ในสถานที่ตั้งโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม, สถานบริการที่ตั้งอยู่ในท้องที่กรุงเทพมหานคร, จังหวัดภูเก็ต, จังหวัดชลบุรี, จังหวัดเชียงใหม่ และท้องที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี สำหรับท้องที่อื่นที่ประสงค์จะให้สถานบริการเปิดทำการได้ถึง 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น ให้เป็นไปตามประกาศจัดหวัดภายใต้หลักเกณฑ์ที่ปลัดกระทรวงมหาดไทยกำหนดต่อไป

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การดำเนินการเสนอร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ เป็นไปตามที่ ครม. ได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักในการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการวางหลักเกณฑ์การขยายเวลาให้สถานบริการในพื้นที่ท่องเที่ยวเปิดบริการได้ถึง 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ได้กำกับและเร่งรัดหน่วยงานดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวของรัฐบาล ขณะเดียวกันได้กำชับให้ทุกขั้นตอนดำเนินตามกฎหมาย มีรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ประเมินผลกระทบทั้งมิติสังคม เศรษฐกิจอย่างรอบด้าน

น.ส.ไตรศุลี กล่าวต่อว่า ก่อนที่จะยกร่างกฎกระทรวงฯ และนำเสนอต่อ ครม. กระทรวงมหาดไทย ได้มีหนังสือถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อแจ้งผู้บัญชาการตำรวจนครบาลในฐานะเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการในท้องที่กรุงเทพฯ และผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยสถานบันเทิงในท้องที่จังหวัดนั้นๆ ให้จัดทำการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ตลอดจนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในพื้นที่ และกรมการปกครอง ได้ออกประกาศเรื่อง การรับฟังความคิดเห็นร่างกฎกระทรวงฯ ลงวันที่ 3 พ.ย. 66 เพื่อกำหนดวิธีการรับฟังความคิดเห็นผ่านระบบออนไลน์เป็นเวลา 15 วัน ตั้งแต่วันที่ 3-17 พ.ย. เพื่อประกอบการยกร่างกฎหมาย นอกจากนี้ กรมการปกครองได้ทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจะเกิดขึ้นจากร่างกฎกระทรวงฯ ซึ่งเป็นการดำเนินตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 ด้วยแล้ว.