ความคืบหน้าจากกรณีที่สื่อช่อง DW ของประเทศเยอรมนี ตีแผ่สารคดีขบวนการค้าประเวณีเด็กในไทย และมีการสัมภาษณ์ผู้ต้องหาชาวเยอรมันที่ซื้อประเวณีเด็กหญิง ซึ่งอ้างว่าได้จ่ายสินบน 1 ล้านบาท ให้เจ้าหน้าที่แลกกับการหลบหนีออกนอกประเทศ

เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว และปราบปรามการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า คดีนี้มาจากการจับกุมสถานบริการที่พัทยา ซึ่งนำเด็กมาค้าประเวณี ซึ่งขณะนั้นตนเองก็ได้ลงไปกำกับดูแลเรื่องนี้เอง โดยเป็นการขยายผลมาจากเด็กในร้าน 2 คน ก่อนจะพบว่ามีเด็กอีก 6 คน ถูกค้าประเวณี และมีผู้หญิงรายหนึ่งอ้างเป็นเจ้าของร้าน แต่ตำรวจขยายผลต่อจนพบว่าจริงๆ แล้ว เจ้าของร้านตัวจริง คือ สามีชาวอังกฤษของหญิงรายดังกล่าว ซึ่งตำรวจได้ดำเนินคดีกับทั้ง 2 คน ในข้อหาร่วมกันค้ามนุษย์ จากนั้นได้ขยายผลไปถึงผู้มาใช้บริการซื้อประเวณีเด็กอีก 2 ราย เป็นชาวเยอรมัน และชาวอเมริกัน

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า เรื่องของสำนวนการสอบสวน พนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาทุกคน และอัยการก็พิจารณาสำนวนพบว่าสมบูรณ์ครบถ้วน สั่งฟ้องผู้ต้องหาทุกคนเช่นกัน แต่ต่อมาพนักงานอัยการไม่สามารถนำตัวผู้ต้องหาไปฟ้องได้ ซึ่งก็ไม่มีการรายงานมาที่ตนเอง ทำให้เพิ่งจะมาทราบเรื่องจากสารคดีของสื่อเยอรมนี เมื่อทราบแล้วตนก็สั่งการให้ตรวจสอบทันที พบว่าสำนวนไม่ได้มีปัญหา แต่ที่ผู้ต้องหาหลบหนีออกนอกประเทศ เพราะผู้กำกับการ สภ.เมืองพัทยา และหัวหน้าพนักงานสอบสวน ไม่ได้ปฏิบัติตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวคือ กรณีจับกุมผู้ต้องหาชาวต่างชาติ แต่ไม่ได้แจ้งกองการต่างประเทศให้รับทราบ เพื่อให้แจ้งไปยังสถานทูตของประเทศนั้นๆ ว่ามีพลเมืองมากระทำผิดในแผ่นดินไทย และไม่ได้แจ้งสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ให้เพิกถอนวีซ่าผู้ต้องหา ซึ่งตามปกติจะต้องดำเนินการ เพื่อหากผู้ต้องหาได้ประกันตัว ตม. ก็จะอายัดตัวมากักที่ห้องกักของ ตม. ได้ ป้องกันการหลบหนีออกนอกประเทศ และ ตม. จะนำตัวผู้ต้องหาไปศาลตามนัด เมื่อเสร็จก็จะนำกลับมากักต่อจนกว่าคดีความจะสิ้นสุด

นอกจากนี้ พนักงานสอบสวนยังนำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังต่อศาลโดยไม่คัดค้านการประกันตัว ทั้งที่เป็นคดีร้ายแรงและผู้ต้องหาเป็นชาวต่างชาติ ซึ่งแม้ศาลจะมีหนังสือแจ้ง ตม. หลังให้ประกันตัวผู้ต้องหา โดยมีเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาต ซึ่ง ตม. ก็ขึ้นลิสต์ไว้แล้ว แต่ชาวเยอรมันได้ติดต่อทนายความให้แจ้งศาลว่า มีธุรกิจจำเป็นต้องกลับไปทำที่เยอรมนี ศาลจึงอนุญาตให้ออกนอกประเทศ จนเป็นที่มาของเรื่องดังกล่าว

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังกล่าวอีกว่า เบื้องต้นได้สั่งการโดยแบ่งเป็นคดีทางวินัยและคดีทางอาญา โดยการดำเนินการทางวินัยนั้น ได้สั่งการผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ให้ตั้งคณะกรรมการลงโทษทางวินัยกับผู้กำกับการ สภ.เมืองพัทยา หัวหน้างานสอบสวน และพนักงานสอบสวนในขณะนั้น ที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แม้ผู้กำกับการ สภ.เมืองพัทยา จะอ้างว่าไม่แน่นในระเบียบ แต่เป็นตำรวจจะอ้างเช่นนั้นไม่ได้

ส่วนคดีอาญา ก็จะต้องตรวจสอบให้ได้ว่ามีใครรับเงินบ้าง โดยฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องปฏิเสธว่าไม่ได้รับเงิน แต่เรื่องเช่นนี้คงไม่มีใครรับสารภาพ ต้องสอบถามจากผู้ต้องหาชาวเยอรมัน ดังนั้นในวันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายนนี้ เวลา 14.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตนได้ประสานเชิญเอกอัครราชทูตเยอรมนี ประจำประเทศไทย มาหารือถึงแนวทาง โดยจะขอให้ทางการเยอรมนีสอบปากคำผู้ต้องหารายนี้ว่าจ่ายเงินให้ใครบ้าง หรือหากเป็นไปได้อาจส่งทีมตำรวจไทยไปสอบปากคำเอง เพื่อให้ความจริงปรากฏ ส่วนทนายความของผู้ต้องหา สอบถามแล้วก็ไม่ทราบว่าลูกความตนเองจ่ายเงินให้ใครบ้างเช่นกัน บอกเพียงว่ารับเงินมาทั้งหมด 1 ล้านบาท เป็นทั้งค่าจ้างและหลักทรัพย์ยื่นประกันตัว แต่ยืนยันว่า ถ้าพบตำรวจหรือเจ้าหน้าที่รายใดกระทำความผิด ตนเองไม่ช่วยแน่นอน

ตลอดจนจะมีการหารือถึงเรื่องการนำตัวผู้ต้องหาชาวเยอรมันเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมด้วย โดยตนเองได้กำชับให้ผู้กำกับการ สภ.เมืองพัทยาคนปัจจุบัน เร่งขอออกหมายแดง เพื่อนำตัวผู้ต้องหาเยอรมันกลับมาดำเนินคดีโดยเร็ว โดยใช้ พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดนฯ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเยอรมนีมีกฎหมายเรื่องสิทธิเสรีภาพสูงมาก จะไม่มีการส่งตัวพลเมืองเยอรมันไปดำเนินคดีที่ประเทศอื่น แต่ถึงแม้จะไม่ส่งตัวผู้ต้องหากลับมาดำเนินคดีในไทย แต่ตำรวจไทยก็ต้องส่งข้อมูลและหมายแดงให้ทางการเยอรมนี เพื่อขอให้ทางการเยอรมนีดำเนินคดีกับผู้ต้องหารายดังกล่าวแทน พร้อมยอมรับเป็นเรื่องน่าเสียดายที่สำนวนคดีรัดกุมแล้ว แต่ไม่สามารถนำตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดีได้

ส่วนผู้ต้องหาชาวอเมริกันได้หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้วเช่นกัน ผ่านทางช่องทางธรรมชาติ ยังเหลือเจ้าของร้านชาวอังกฤษที่ยังอยู่ในประเทศ โดยตนได้สั่งการให้นำตัวไปกักที่ห้องกักของ ตม. แล้ว เพื่อรอกระบวนการนัดของศาลต่อไป

นอกจากนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังบอกอีกว่า เรื่องดังกล่าวส่งผลต่อการจัดอันดับการค้ามนุษย์ของไทยพอสมควร ซึ่งตนเองก็เตรียมนัดเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา เพื่ออธิบายเรื่องดังกล่าวแล้ว