เมื่อวันที่ 23 ก.ย. ที่รัฐสภา นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 แถลงตอบโต้กรณี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร นำเรื่องการครอบครองที่ดินป่าดงพะทาย อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ขึ้นมาตรวจสอบและแถลงต่อสื่อมวลชนว่า เท่าที่รับฟังเป็นการนำความจริงแค่บางส่วนมาให้สื่อมวลชนรับทราบ ทั้งนี้ การครอบครองที่ดินดงพระทาย ตนเคยถูกพรรคร่วมฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจตั้งแต่ปี 54 และฝ่ายค้านในขณะนั้นยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบจนกระทั่งตอนนี้เป็นเวลา 10 ปี เรื่องยังอยู่ในป.ป.ช. และตนยังอยู่ปกติธรรมดา ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

นายศุภชัย ชี้แจงการครอบครังที่ดินผืนดังกล่าวสรุปคือ เมื่อปี 18 ปีมีการจัดสรรที่ดิน ครอบครัวตนยากจน บ้านอยู่ห่างจากที่ดินตรงนี้ 20 กม. พี่ชายของตนจึงได้ยื่นความจำนงในการจับฉลากขอเป็นเจ้าของที่ดิน และได้ใบจอง แต่ปัญหาคือที่ดินตรงนี้รกร้างว่างเปล่า ชาวบ้านจาก 3 ตำบล ได้เข้าไปทำประโยชน์ในพื้นที่ก่อนปี 18 แต่เมื่อคณะกรรมการจัดสรรที่ดินมาจัดสรร ประชาชนในพื้นที่กับประชาชนที่จับสลากได้ก็มีปัญหากัน และด้วยความทุรกันดารทำให้ไม่สามารถอยู่อาศัยได้ จึงอาจขายให้กันกระทั่งปี 30 ตนได้รับแต่งตั้งเป็นครูใหญ่โรงเรียนในพื้นที่ ต.พะทาย และเห็นพื้นที่ตรงนี้ 2 หมื่นกว่าไร่ไม่ได้ทำประโยชน์ เมื่อเห็นที่เหมาะแก่การทำเกษตร จึงไปหารือกับชาวบ้านชักชวนพี่น้องปลูกอ้อย จึงขอเช่าสิทธิจากชาวบ้านที่ครอบครองอยู่แล้ว เมื่อเช่าก็ปลูกอ้อยกว่าพันไร่ กระทั่งปี 32 ชาวบ้านที่เช่าอยู่มาขอยืมเงินไป เมื่อไม่มีเงินส่งคืนก็เอาที่ดินให้ราคาไร่ละ 2,000-3,000 บาท ซื้อจากชาวบ้านโดยมีหลักฐานเป็น น.ส.2

“พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ บอกผมไม่รู้กฎหมาย น.ส.2 ซื้อขายไม่ได้ แต่ที่เอามาเพราะผมซื้อสิทธิการครอบครองแล้วกลัวเกิดปัญหากับคนที่ถือใบจองจึงให้ไปเอาใบ น.ส.2 มาให้ผม เพื่อป้องกันปัญหาไม่ให้คนที่มีใบจองมาโวยวายฟ้องร้องว่าผมบุกรุก และทำเป็นบันทึกข้อตกลงเอาไว้ ซึ่งตั้งแต่ปี 32 ผมทำไร่อ้อย มันสำปะหลัง และยูคาลิปตัส มาตลอด อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 2530 ผมเป็นครูใหญ่ ไม่มีตำแหน่งทางการเมืองใดๆ กระทั่งปี 44 จึงสมัคร ส.ส.เป็นครั้งแรก เมื่อได้รับเลือกตั้งในปี 44 มีการแจ้งบัญชีทรัพย์สินหนี้สิน ผมไม่ได้แจ้ง ป.ป.ช. เพราะในขณะนั้นผมยังสงสัยในสิทธิว่าเป็นของผมหรือไม่ ต่อมาได้รับเลือกตั้งครั้งที่ 2 ผมได้นำเรื่องนี้หารือกับอธิบดีกรมที่ดิน และฝ่ายกฎหมายของกรมที่ดิน ว่าผมซื้อสิทธิครอบครองมาทำประโยชน์ 200 กว่าไร่ ผมมีสิทธิเป็นเจ้าของหรือไม่ ซึ่งอธิบดีกรมที่ดินเอาหลักฐานมาให้ดูว่าที่ตรงนี้ไม่ใช่ป่าสงวนหรือป่าเสื่อมโทรม ดังนั้นเมื่อชาวบ้านสละสิทธิในการทำประโยชน์ก็กลับไปเป็นที่รกร้าง ถ้าใครครอบครองมีสิทธิออกโฉนดเป็นชื่อตัวเอง และป.ป.ช.บอกว่าต้องแจ้งเพราะนำมาทำประโยชน์ เมื่อเป็นแบบนี้ผมก็แจ้ง ป.ป.ช.ด้วยความบริสุทธิ์ใจ” นายศุภชัย กล่าว

เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ ที่มีการหยิบยกประเด็นดังกล่าวมาพูดในช่วงเวลานี้ นายศุภชัย กล่าวว่า ในส่วนลึกไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร แต่ยอมรับว่าเวลามีปัญหาอะไรขึ้นมามันต้องคิดบ้างเป็นธรรมดา ยิ่งพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ที่ทำหน้าที่เป็นประธาน กมธ.ป.ป.ช. ตรวจสอบมากหลายเรื่อง แต่ไม่มีเรื่องการทุจริตประพฤติมิชอบที่ใหญ่โต เท่าที่ทราบ 2 ปีกว่าที่ผ่านมา เห็นผลงานที่ทำหนังสือเรียกนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ไปชี้แจงเรื่องประธานวางตัวไม่เป็นกลาง และผลงานโดดเด่นคือการทะเลาะกับ ส.ส.หลายคน หากถามว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ดูถูกเหยียดหยามตนแล้วรู้สึกโกรธหรือไม่ ซึ่งพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์พยายามด้อยค่าตนด้วยการดูถูกเหยียดหยามมาตลอด แต่หากท่านพูดในที่ประชุมสภาฯ ในฐานะที่ตนนั่งบนบัลลังก์เป็นประธานการประชุม ตนไม่เคยถือโทษโกรธเคือง เพราะคิดว่าท่านอาจทำหน้าที่เกินเลยไปบ้าง ตนในฐานะประธานในที่ประชุมให้อภัยด้วยความจริงใจ ไม่เคยโกรธแม้แต่นิดเดียว แต่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ยังมาแถลงข่าวดูถูกเหยียดหยามและดูหมิ่นดูแคลน ทำให้รับไม่ค่อยได้

นายศุภชัย แนะนำให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไปตรวจสอบเรื่องใหญ่ๆ ที่มีการทุจริตและการโกงกินกันมากมาย เช่น การจัดซื้อรถจักรยานยนต์ยี่ห้อหนึ่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ วงเงินเกือบหมื่นล้านบาท มีการทุจริตอย่างมโหฬาร ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดกลับจับได้เฉพาะตัวเล็กๆ ส่วนตัวใหญ่ๆ ลอยนวลหมด ทำไม กมธ.ป.ป.ช.ไม่ไปตรวจสอบเรื่องนี้และนำผลคดีว่าใครเป็นหัวโจกจริงๆ มาแถลงให้ประชาชนได้รับทราบ รวมถึงกรณีมีคนสร้างบ้านบุกรุกแม่น้ำแควน้อย จ.กาญจนบุรี โดยอธิบดีกรมเจ้าท่าได้ชี้ว่ามีความผิดสั่งให้รื้อแต่ผู้บุกรุกดื้อรั้นไม่ยอมรื้อ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์น่าจะนำ กมธ.ป.ป.ช.ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้เพื่อนำมาแถลงให้ประชาชนได้ทราบบ้าง

“ฝากถึง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ว่าความเป็นวีรบุรุษมันจะต้องควบคู่กับหัวใจและจิตใจเป็นสุภาพบุรุษ ถ้าวีรบุรุษไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ ชอบดูถูกเหยียดหยามคนอื่นร่ำไป คุณค่าของวีรบุรุษจะเหลืออะไรอยู่บ้าง” นายศุภชัย กล่าว.