เมื่อวันที่ 16 มี.ค. พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พล.ต.ต.จิตติพนธ์ ผลพฤกษา ผบก.สอท.4 สั่งการให้ พ.ต.อ.คมสัน มีภักดี ผกก.4 บก.สอท.4 นำกำลังจับกุม นายอำนาจ อายุ 27 ปี และ น.ส.ลลิตา อายุ 29 ปี สองสามีภรรยา ตามหมายจับของศาลอาญา ที่ 105,118/2566 ลงวันที่ 13 ม.ค. 2566 ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันเป็นอั้งยี่, ร่วมกันเป็นซ่องโจร, ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ,ร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และร่วมกันฟอกเงิน”

พ.ต.อ.คมสัน กล่าวว่า สืบเนื่องจากราวปี 2565 มีผู้เสียหายเป็นนักธุรกิจถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรศัพท์หลอกลวงว่า เป็นพนักงานบริษัทขนส่งเอกชนแห่งหนึ่ง หลอกว่ามีพัสดุผิดกฎหมายส่งจากต่างประเทศ ได้ระบุชื่อที่พัสดุเป็นชื่อนามสกุลผู้เสียหาย และมีความเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดฐานฟอกเงิน หลอกให้โอนเงินไปเพื่อตรวจสอบจึงหลงเชื่อ โอนเงินไปกว่า 42 ล้านบาท ต่อมาภายหลังรู้ตัวว่าถูกหลอกจึงเข้าแจ้งความ กระทั่งชุดสืบสวนพบว่า ทั้งสองคนทำหน้าที่ร่วมขบวนการแก๊ง Call center จึงดำเนินการออกหมายจับ ก่อนจับกุมได้ที่หน้า สภ.คลองหาด จ.สระแก้ว

สอบสวนให้การว่า ก่อนหน้านี้มีเพื่อนชักชวนไปทำงานเป็นแอดมินที่ปอยเปต ประเทศกัมพูชา และนัดหมายให้เดินทางไปรอที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว และพาข้ามทางช่องทางธรรมชาติไปที่ปอยเปต ประเทศกัมพูชา เมื่อไปถึงพบว่าเป็นออฟฟิศรูปแบบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ก่อนเริ่มทำงานให้ท่องสคริปต์ รูปแบบการพูดคุยหลอกลวง มีการแบ่งหน้าที่กันทำงานชัดเจน มีนายทุนเป็นคนไต้หวัน โดยพวกตนอยู่กลุ่มที่ทำหน้าที่โทรศัพท์หลอกลวงเหยื่อเป็นสายที่ 1 ปลอมเป็นพนักงานบริษัทขนส่งเอกชน หลอกเหยื่อว่ามีพัสดุตกค้างเป็นสิ่งของผิดกฎหมายให้ติดต่อไปที่สถานีตำรวจ และจะช่วยประสานงานให้ จากนั้นเมื่อเหยื่อหลงเชื่อ ก็จะต่อสายส่งไปให้ผู้ร่วมขบวนการรายอื่นๆ เบื้องต้นแจ้งข้อหานำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.2 บก.สอท.1 ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป