เมื่อวันที่ 2 เม.ย. ที่รัฐสภา พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ สว.ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม วุฒิสภา กล่าวถึง กรณีที่ได้ศึกษาเรื่อง “หลักเกณฑ์ ระเบียบ และคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการแต่งตั้งเลขาธิการ กสทช. ตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2533 เสร็จเรียบร้อยแล้ว และนำเสนอรายงานการเลือกเลขาธิการ กสทช. เพื่อให้วุฒิสภา ดำเนินการพิจารณาเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 67 โดยยืนยัน ว่า การตั้งอนุกรรมาธิการขึ้นมาพิจารณาศึกษาไม่ได้เป็นการตรวจสอบ และยืนยันไม่ได้ก้าวก่าย กสทช.โดยได้ปรึกษาฝ่ายกฎหมายแล้ว พบว่า ตามมาตรา 129 และ 185 ของรัฐธรรมนูญ กำหนดให้กรรมาธิการศึกษาเรื่องนี้

พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม  สว.ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบการปฏิบัติงานของ กสทช. เกี่ยวกับการตีความบทบัญญัติของกฎหมายที่ไม่ตรงกัน ระบุว่าผลการศึกษา พบว่ามี 2 ความเห็นเกี่ยวกับการตั้งเลขาฯ กสทช. คือ ประธาน กสทช. เห็นว่าเป็นอำนาจในการแต่งตั้งโดยประธาน และมีผู้เห็นด้วย 3 เสียง ส่วนความเห็นว่าเป็นหน้าที่ขององค์กรกลุ่ม มี 4 เสียงเห็นด้วย ซึ่งสอดคล้องกับการเลือกในอดีต ส่วนกระบวนการตั้ง เลขาฯ กสทช.ที่ล่าช้ามากว่า 3 ปี นั้นเห็นว่า ตำแหน่งดังกล่าวมีความสำคัญ การที่ไม่เร่งพิจารณาถือเป็นการทำให้การปฏิบัติหน้าที่ของ กสทช. เสียหาย เพราะเป็นองค์กรดูแลคลื่นความถี่ได้ผลประโยชน์จากคลื่นความถี่จึงกระทบต่อการทำงาน

เมื่อถามว่า ตรงนี้จะถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า เป็นสิ่งที่น่าคิดว่าการตั้งล่าช้าจะเป็นการปฏิบัติโดยมิชอบหรือไม่หลังอนุ กมธ.ศึกษาแล้ว ยังตรวจพบความล่าช้า นอกจากเรื่องความขัดแย้ง ความเห็นไม่ตรงกัน ยังมีเหตุการณ์แทรกซ้อน กรณีถ่ายทอดฟุตบอลโลกที่มีการกล่าวหา นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ทำการมิชอบด้วยกฎหมาย และมีมติเปลี่ยนแปลง เพื่อให้เลขาฯ คนใหม่มาทำหน้าที่สอบสวน แต่ประธาน กสทช. ไม่ลงนามจึงเป็นเหตุการณ์บานปลายสร้างความเสียหายให้ กสทช. จึงจะเสนอรายงานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

ด้านนายประพันธ์ คูณมี รองประธานอนุ กมธ. กล่าวว่า นับตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 63 ที่นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ ลาออก และตั้งรักษาการมาจนปัจจุบัน เกือบ 4 ปี ดังนั้น นายไตรรัตน์ ทำหน้าที่รักษาการเกือบครบวาระแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติ วุฒิสภาเห็นว่า จะเกิดความเสียหายต่อประเทศและประชาชน หลายโครงการเดินหน้าไม่ได้ ซึ่งศึกษาพบสาเหตุความล่าช้า เพราะมีการตีความตามกฎหมายต่างกัน พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าประธานออกประกาศของประธานเพื่อคัดเลือกเลขาฯ กสทช.เอง ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนตามกฎหมาย เพราะไม่ใช่เลขานุการของประธาน แต่เป็นเลขาฯองค์กร ต้องทำงานรับใช้องค์กร เมื่อประธานประกาศและคัดเลือกเองเฉพาะตัวประธานก็ใช้เวลา 1 ปี 9 เดือนกว่าจะมาเสนอกรรมาธิการในที่ประชุม แต่ไม่ได้ให้ความเห็นชอบเพราะกรรมการไม่กล้ารับรอง จึงเกิดความล่าช้า

เมื่อถามว่า พฤติกรรมแบบนี้ส่อไปในการปฏิบัติหน้าที่มิชอบหรือไม่นั้น นายประพันธ์ กล่าวว่าใน พ.ร.บ.จัดสรรคลื่นความถี่ กำหนดกรอบเวลาในการสรรหาเลขาฯ ต้องทำให้ได้ในกรอบ 90 วัน แต่ 3 ปีกว่าไม่สามารถตั้งได้ สะท้อนถึงการปฏิบัติหน้าที่ของผู้นำและคณะกรรมการองค์กรนั้น ดังนั้นในทางกฎหมายถือว่า เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ให้เสียหาย ล่าช้าเกินสมควร

เมื่อถามย้ำว่า ตรงนี้เป็นการตอกย้ำว่า กสทช. เป็นเหมือนแดนสนธยาหรือไม่ นายประพันธ์ กล่าวว่า เรื่องตั้งเลขาฯ กสทช.เป็นคนละกรณีและไม่เกี่ยวข้องกับกรณีฟ้องร้องคดีฟุตบอลโลก อย่างไรก็ตาม ข้อสรุปที่ได้ศึกษามา พบว่า อะไรที่ส่อไปในทางมิชอบด้วยกฎหมายจะเสนอรายงานไปถึงหน่วนงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ทั้งสำนักนายกรัฐมนตรี กรรมการ ป.ป.ช.และสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้ดำเนินการร้องศาลตามขั้นตอนต่อไปได้ รวมถึงไปยัง กสทช. ด้วย หากพบว่าใครทำผิดก็ขอให้ดำเนินการ.