เมื่อวันที่ 22 เม.ย. เวลา 09.35 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติ เพื่อแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า ในการกินข้าวกับพรรคร่วมรัฐบาล เมื่อวันที่ 21 เม.ย. ที่ผ่านมา ได้พูดคุยเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เตรียมจะนำเสนอเรื่องนี้เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 23 เม.ย. นี้ หลังจากที่มีการศึกษาขั้นตอนการทำประชามติเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2566 ที่ได้ข้อสรุป และความเห็นต่างที่จะนำเสนอ ครม. รวมถึงแนวคำถามที่จะทำประชามติจะเป็นอย่างไร ซึ่งในร่างของคณะกรรมการศึกษาการทำประชามติ ได้จัดเตรียมเรื่องแนวคำถามไว้เรียบร้อยแล้ว โดยอิงกับนโยบายของรัฐบาล โดยจะถามประชาชนว่าเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยไม่แก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 หรือไม่ เพื่อเสนอ ครม. พิจารณา และเมื่อ ครม. เห็นชอบแล้ว ก็จะส่งเรื่องไปที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จากนั้นกระบวนการจะเดินหน้า โดย กกต. จะมีเวลาพิจารณา 90 วันหรืออาจเร็วกว่านั้นได้ ส่วนรัฐบาลถือว่าทำหน้าที่จบแล้ว ส่วนที่ดำเนินการล่าช้าไปบ้าง เนื่องจากทางรัฐสภาได้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าจะต้องทำประชามติกี่ครั้ง โดยศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้อง และให้รัฐสภาดำเนินการต่อ ทำให้ต้องหารือกันอีกครั้งถึงการทำประชามติ 3 รอบ เพื่อความปลอดภัย และคาดว่าจะทำประชามติครั้งแรกได้ในเดือน ส.ค. นี้ จึงต้องหารือกับพรรคร่วมรัฐบาล โดยยืนยันว่าได้คุยเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียว ไม่มีเรื่องของการปรับ ครม. และไม่มีการหารือเรื่องของกฎหมายนิรโทษกรรม

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าได้คุยเรื่องปรับ ครม. หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่ได้คุย ถ้าจะคุยเรื่องนี้ ต้องนัดหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลอีกครั้ง ส่วนเรื่องปรับ ครม. เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีที่จะพิจารณาว่าควรจะปรับหรือไม่อย่างไร หากมีความชัดเจนแล้ว นายกฯ คงเรียกประชุมหัวหน้าพรรคการเมืองอีกครั้ง

เมื่อถามว่าเครือข่ายภาคประชาชนไม่เห็นด้วยกับผลการศึกษาของคณะกรรมการฯ เนื่องจากประชาชนอาจไม่ได้มีส่วนร่วมเท่าที่ควร เกรงว่าจะขัดขวางการทำประชามติหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เราเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมาเป็นตัวแทน เพราะได้เชิญหัวหน้าพรรคร่วมฝ่ายค้านกลุ่มไอลอว์มาร่วมอยู่ในคณะกรรมการศึกษาการทำประชามติแล้ว แต่ได้รับการปฏิเสธ ขณะที่คณะกรรมการได้หารือกับหัวหน้าและแกนนำพรรคก้าวไกล และถามประชาชน 4 ภาค และมีแบบสอบถามไปที่รัฐสภา ดังนั้น การกล่าวหาที่ว่ามีแต่พวกของรัฐบาลเท่านั้น เป็นข้อกล่าวหาที่ดูแคลนคณะกรรมการ พอได้เชิญตัวแทนนักวิชาการทุกฝ่าย ทุกกลุ่มวิชาชีพ ผู้มีประสบการณ์และมีความน่าเชื่อถือในแต่ละวงการมาให้ความเห็น ขาดแค่ฝ่ายค้านที่ปฏิเสธเข้าร่วมตั้งแต่ต้น

นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า อย่ามาบอกว่าไม่ได้ถามประชาชนทั้งประเทศ เพราะคุยกับทุกกลุ่มแล้ว เราไม่ได้เล่นแร่แปรธาตุ ไม่ได้มีอะไรที่ปิดบังอำพรางโดยทำหน้าที่เต็มที่ ส่วนที่ได้ยินว่าอาจจะมีการเคลื่อนไหวไม่ให้ประชาชนมาออกเสียงประชามติ ขอให้พิจารณาดูว่ามีโอกาสที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว จึงอยากให้ทุกคนใช้โอกาสนี้ มาร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญตามกระบวนการ ถ้าผลออกมาแล้วประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็กลับไปใช้ฉบับปี 2560 แต่ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงให้มาร่วมกันแก้ไขตามกฎหมาย ให้เป็นประชาธิปไตยมากที่สุด และจะทำให้เสร็จภายในภายใน 4 ปี ในสมัยรัฐบาลนี้ จึงอยากให้ฝ่ายค้านพิจารณาให้รอบคอบว่า หากจะเคลื่อนไหวไม่ให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกิดขึ้น แสดงว่าอยากกลับไปอยู่เหมือนกับช่วงที่เกิดการรัฐประหารจนมาถึงรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ใช่หรือไม่ ถ้าไม่ใช่ และอยากให้มีการแก้ไขขอให้เข้ามาร่วมกัน ไม่อยากให้คิดเบ็ดเสร็จ

“ถ้าฝ่ายค้านบอกว่าไม่ต้องการ โดยอ้างความเห็นประชาชน ก็ต้องบอกว่าตัวแทนพรรคการเมือง มีฐานสมาชิกและฐานเสียงของประชาชนที่สนับสนุนเช่นกัน ดังนั้นอย่าเถียงกันเรื่องนี้เลย แต่หากจะเถียงกันแบบนี้ ต้องบอกว่าหากพรรคการเมืองมีเสียงรวมกันมากกว่าเสียงของฝ่ายค้าน และเถียงกันไม่ได้สาระอะไร เพราะสาระสำคัญตอนนี้ คือจะทำอย่างไรให้ได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น” นายภูมิธรรม กล่าว