สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานจากกรุงฮานอยประเทศเวียดนามเมื่อวันที่ 6 ต.ค.ว่า เวียดนามใช้มาตรการควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด ปิดพรมแดนช่วงเริ่มต้นการแพร่ระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-19 ซึ่งตอนแรกดูเหมือนว่าจะได้ผล แต่กลับกระทบต่อการท่องเที่ยวที่กำลังเฟื่องฟู ซึ่งนำรายได้เข้าประเทศคิดเป็น 10%ของผลผลิตมวลรวมในประเทศ และเมื่อเดือนที่แล้วรัฐบาลเวียดนามประกาศว่าจะเปิดแหล่งท่องเที่ยวบนเกาะฟูโกว๊ก รับนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนแล้ว เริ่มในเดือนพ.ย.นี้


ล่าสุดแถลงการณ์ของรัฐบาลเวียดนามระบุว่า ตั้งแต่เดือนธ.ค.นี้เป็นต้นไป จะเปิดพรมแดนเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจากประเทศที่ได้ผ่านการรับรองแล้ว คือฉีดวัคซีนแล้วและอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่ำจากไวรัสโควิด-19สามารถเดินทางท่องเที่ยวไปเยือนแหล่งมรดกโลกตามประกาศของยูเนสโก้อย่างอ่าวฮาลอง เมืองฮอยอัน เมืองดาลัต และชายหาดของเมืองญาจาง เป็นต้น ซึ่งรัฐบาลเวียดนามยืนยันว่าจะเปิดก็ต่อเมื่อทุกอย่างปลอดภัยแล้ว โดยจะดำเนินการไปตามขั้นตอนอย่างเฝ้าระวังที่สุด แต่ก็ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ข้อเท็จจริงของการแพร่ระบาด
ความเคลื่อนไหวเช่นนี้คล้ายกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย ซึ่งจะขยายพื้นที่นำร่องให้นักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนแล้วมาเยือนได้ เริ่มเดือนพ.ย.นี้
เมื่อปีที่แล้วนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนเวียดนามลดลงไปเหลือ 3.8 ล้านคน จากที่เคยสูงถึง 18 ล้านคนในปี 2562 ซึ่งรายได้จากท่องเที่ยวสูงถึง 31,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ12%ของผลผลิตมวลรวมในประเทศ และรัฐบาลเวียดนามพยายามรณรงค์จัดฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในประเทศ และดำเนินการไปได้แล้ว13%ของประชากร98 ล้านคน ซึ่งติดอยู่ในกลุ่มประเทศที่ฉีดวัคซีนได้ล่าช้าในภูมิภาคเอเชีย
เครดิตภาพREUTERS