เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เฮลิคอปเตอร์ของเจ้าหน้าที่กู้ภัยแคนาดาต้องบินไป-กลับหลายรอบเพื่อช่วยอพยพประชาชนที่ติดอยู่ในรถบนทางหลวง หลังจากพายุฝนครั้งใหญ่ทำให้เกิดเหตุดินถล่มในมณฑลบริติช โคลัมเบีย ทางตะวันตกของประเทศแคนาดา

พายุฝนซึ่งพัดเข้าเขตมาตั้งแต่วันอาทิตย์ ทำให้เกิดเหตุดินถล่มจนต้องปิดถนนและต้องอพยพประชาชนทั้งเมือง รวมถึงปิดระบบท่อขนส่งน้ำมันและเลื่อนเที่ยวบิน

มีคนที่ติดอยู่แถวภูเขาใกล้เขตเมืองอากัสซี 275 คน ซึ่งมีเด็กรวมอยู่ด้วย 50 คน และรถยนต์อีกราวร้อยคัน เมืองนี้อยู่ห่างจากแวนคูเวอร์ไปทางตะวันออกราว 120 กม. จึงเป็นเหตุให้ต้องจัดเที่ยวบินอพยพโดยเฮลิคอปเตอร์ของหน่วยค้นหาและกู้ภัยของแคนาดา

ผู้บริหารในเมืองเมอร์ริทท์ ซึ่งอยู่ห่างจากแวนคูเวอร์ทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 200 กม. สั่งการให้ประชากรทั้ง 8,000 คนต้องอพยพออกจากเมือง หลังจากระดับน้ำสูงขึ้นจนสะพานขาดและต้องปิดโรงงานบำบัดน้ำเสีย

ในประกาศแจ้งเตือนของเมืองระบุว่า “การรั้งอยู่ในชุมชนโดยไม่มีบริการด้านสุขอนามัยเสี่ยงต่อการเกิดสิ่งปฏิกูลจำนวนมากและไม่ดีต่อสุขอนามัยส่วนบุคคล”

สภาพภายในสวนสาธารณะโฮเกนภายหลังพายุฝนถล่มเขตบริติช โคลัมเบียจนเกิดน้ำท่วมและดินถล่มในหลายท้องที่

ในวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ย. บางเขตของเมืองมีปริมาณฝนตกถึง 200 มม. ซึ่งเท่ากับปริมาณฝนตกทั้งเดือนในเวลาปกติ ฝนยังคงตกหนักต่อไปในวันจันทร์ ถนนสายต่าง ๆ มีแต่โคลนหรือมีน้ำท่วมสูงกว่า 10 นิ้ว เหตุการณ์ดินถล่มและน้ำท่วมครั้งนี้ เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึง 6 เดือนหลังจากเกิดเหตุไฟป่าที่ไม่สามารถควบคุมได้ซึ่งลามไปทั้งเมือง

พายุครั้งนี้ยังทำให้ทางการจำเป็นต้องปิดท่อส่งน้ำมันดิบจากอัลเบอร์ทาไปยังชายฝั่งแปซิฟิก ระบบท่อส่งที่วิ่งผ่านภูเขานี้สามารถขนส่งน้ำมันได้เป็นจำนวนมากถึง 300,000 บาเรลต่อวัน ส่วนโครงการก่อสร้างเพิ่มเติมก็ต้องระงับไปก่อนด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ ยังมีคลิปวิดีโอซึ่งมีผู้โพสต์ไว้บนเฟซบุ๊ก แสดงภาพของถนนบางส่วนที่ถูกน้ำท่วมตัดขาดใกล้กับเมืองโฮป ซึ่งอยู่ห่างออกไปทางตะวันออกประมาณ 28 กม.

“สถานการณ์กำลังรุนแรง…เป็นสภาพอากาศที่ปั่นป่วนมาก” ไมค์ ฟาร์นเวิร์ธ รัฐมนตรีกระทรวงความปลอดภัยสาธารณะและการเตรียมพร้อมเพื่อเหตุฉุกเฉิน กล่าวกับผู้สื่อข่าว

เจ้าหน้าที่ทางการยังระบุว่า พายุอีกหลายลูกจะเข้าโจมตีพื้นที่ในเวลาต่อมา ซึ่งอาจทำให้ไฟฟ้าดับ

พายุฝนเป็นภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศที่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ในเขตมณฑลฝั่งแปซิฟิกนี้ภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาอุณหภูมิในบริเวณดังกล่าวก็พุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้เกิดไฟป่าลุกลามจนเสียหายทั้งเมือง

เครดิตภาพ : Reuters