เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมตัวเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในการเลือกตั้งทั่วไปรอบหน้า ว่า ตนจะทำหน้าที่เดิมให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ทั้งเรื่องการส่งว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. การผลักดันนโยบายตั้งแต่สมัยอดีตพรรคอนาคตใหม่ ที่ต้องพยายามโชว์ให้เห็นว่าพรรคก้าวไกลยังพยายามที่จะยุติการสืบทอดอำนาจ ผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญในปี 2565 อย่างจริงจังยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังเตรียมตัวที่จะเข้าสู่อำนาจบริหาร ซึ่งตนก็มีประสบการณ์ทั้งจากรัฐบาล และภาคเอกชน จึงมีความเข้าใจความท้าทายใหม่ๆ ที่นายกฯ คนต่อไปต้องเจอ ไม่ใช่แค่เรื่อง ความมั่นคง เศรษฐกิจ เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงวิกฤติสาธารณสุข สิ่งแวดล้อม และวิกฤติการต่างประเทศ นายกฯ​ คนใหม่ต้องพร้อมที่จะแหวกว่ายเงื่อนไขแวดล้อมมากมายที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ เพื่อทำให้ประเทศไทยกลับมาแข่งขันได้อีกครั้งหนึ่ง 

เมื่อถามถึงพรรคก้าวไกล อาจจะต้องพบกับแรงเสียดทานทางการเมืองมากกว่าพรรคอื่นๆ นายพิธา กล่าวว่า ตนคิดว่าเป็นเรื่องปกติของการเมืองไทย ซึ่งตนก็เข้าใจประเด็นนี้ แต่ที่สิ่งที่ต้องพูดเรื่อยๆ คือ เรื่องการยุบพรรคการเมือง เรื่องการกลั่นแกล้งทางการเมือง การใส่ร้ายป้ายสี หรือการซื้องูเห่า ซึ่งพรรคก้าวไกลจะผลักดันให้แก้ไขอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ และความรับผิดชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผ่านร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ที่พรรคก้าวไกลจะนำเสนอสู่สภา ซึ่งเป็นการทำงานทางความคิดกับประชาชนว่า ไม่ควรที่จะเป็นเช่นนี้ในการเมืองไทย 

เมื่อถามว่า ได้เตรียมรับมือระบบบัตรเลือกตั้งสองใบหรือไม่ เพราะถูกมองว่าจะทำให้พรรคก้าวไกล ได้ ส.ส.น้อยลง นายพิธา กล่าวว่า ถือเป็นการอนุมาน เหมือนตอนที่คิดกันว่าอดีตพรรคอนาคตใหม่ จะได้ ส.ส.ไม่เกิน 20 คน ทั้งนี้ ก็เป็นการอนุมานที่อาจจะเป็นไปได้ หากเราถอย ยอมแพ้ และไม่ยอมปรับตัว แต่เราคือพรรคที่สามารถปรับตัวได้ ขณะนี้ พรรคก้าวไกลอนุมัติเลือกว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.แล้วประมาณ 200 เขต หรือเกิน 70% ซึ่งตั้งเป้าจะส่งลงครบทั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน และส.ส.เขต 400 เขต พรรคก้าวไกลก้าวข้ามระบบการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม หรือ MMP แล้ว ดังนั้น ไม่ว่าจะบัตรเลือกตั้งใบเดียว หรือสองใบ เราจะต่อสู้เต็มที่ และไม่หันกลับไปมองข้างหลัง เพื่อมาทำนโยบายระดับเขตให้ชัดเจน  

“เมื่อระบบการเลือกตั้งเป็นเช่นนี้ เราก็มีจุดแข็งใช้สู้ คือเรื่องความขยัน เพราะคนของเราเป็นวัยหนุ่มสาว มีกำลังวังชา ในการลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง จึงสามารถสร้างความใกล้ชิดกับชุมชนในพื้นที่ต่างๆ และเรายังมีเวลาลงพื้นที่มากกว่าสมัยอดีตอนาคตใหม่ ได้นำปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเข้าสู่สภา และการออกกฎหมายต่างๆ เมื่อได้พบประชาชนก็บอกว่า หากได้เป็นรัฐบาล จะทำอะไรบ้าง ซึ่งเรามั่นใจว่า สิ่งที่เราจะทำต่อไปในอนาคต จะมีค่ามากเงิน 2,000 บาท” นายพิธา กล่าว.