เมื่อวันที่ 15 ม.ค. นายปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเกี่ยวกับกรณีปัญหาหมูแพง และโรคระบาดในหมู โดยระบุว่า “เรื่องหมูซึ่งจะกลายเป็นแพะ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีกรมคู่แฝดคือกรมประมงและกรมปศุสัตว์ คือมีหน้าที่ดูแลสัตว์น้ำกรมหนึ่ง สัตว์บกกรมหนึ่ง มีขนาดกำลังคนและงบประมาณใกล้เคียงกัน มีโครงสร้างองค์กรเกือบเหมือนกัน แม้แต่การเรียนก็คล้ายกัน

สมัยผม (58 ปีมาแล้ว) ที่เกษตรฯ ประมงและสัตวแพทย์เรียนปี 1-2 ร่วมกัน ปี 3-6 สัตวแพทย์ย้ายไปปทุมวันและรับปริญญาของจุฬาฯ ส่วนประมงปี 3-5 ยังคงอยู่ที่บางเขน เมื่อผมครบการเป็นอธิบดีกรมประมง 4 ปีรอบแรกเกือบจะต้องมีการย้ายสลับระหว่างอธิบดีกรมประมงกับอธิบดีกรมปศุสัตว์

การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำก็มีโรคเหมือนสัตว์บก สมัยผมเท่าที่จำได้ มีโรคกุ้งระบาดอยู่หลายครั้ง (กุ้งมีมูลค่าทางเศรษฐกิจหลายหมื่นล้านบาท เท่ากับหมู) เป็น virus ทั้ง DNA และ RNA เสียส่วนใหญ่ มีประเภท Bacteria เพียงโรคเดียว ที่ร้ายและเสียหายมากที่สุดคือโรค White Spot ในปี 2536 ซึ่งกรมประมงก็ได้ประกาศต่อสาธารณชนทันที รวมถึงแจ้งต่อ OIE (World Organization for Animal Health) ตามพันธสัญญา เช่นเดียวกับกรมปศุสัตว์ในยุคนั้นมีการปฎิบัติในมาตรฐานเหมือนกรมประมงเมื่อมีโรคระบาดทุกประการ ผมจึงรู้สึกสนเท่ห์ใจเป็นอย่างมากว่า เกิดอะไรขึ้นตอนนี้ โดยเฉพาะกรณีหมูซึ่งดูเหมือนจะมีอะไรเปลี่ยนไป

ผมถามเพื่อนรุ่นๆ ผมและรุ่นหลานในกรมปศุสัตว์ ทุกคนพูดเหมือนกันว่า มันคือโรคอหิวาต์หมู ASF หรือ African Swine Fever ระบาดมา 4-5 ปี รอบๆ บ้านเราเป็นกันหมดและก็เข้ามาในเมืองไทย 2 ปีกว่าแล้ว แต่ (ก็แปลก) มีความพยายามจะพูดว่า เป็นแค่โรคทางเดินหายใจหรือ MERS เท่านั้น แม้แต่ FAO ก็พยายามคาดคั้นประเทศไทยมาตลอด 2 ปีจนนับ email ไม่ถ้วน แต่ดูเหมือนเราก็จะทำหูทวนลมเสีย (หูหนวกชั่วคราว) รัฐบาลเองก็ดูเหมือนจะรู้ จึงจัดงบประมาณให้ไปสู้กับโรคถึง 5 รอบ เป็นเงินมากกว่า 1,500 ล้านบาท

จนสุดท้ายบรรดาคณบดีคณะสัตวแพทย์ทั้ง 14 แห่งเขาทนไม่ไหว จึงทำหนังสือเตือนมา เพราะตามกฎหมายเป็นหน้าที่ที่เขาต้องบอก แต่สิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดจนได้ในเมืองไทย (Thailand Only) หนังสือหายครับ! Biotec ของ สวทช.ก็ออกมาสำทับซ้ำอีกว่า โรคหมูในเมืองไทยเป็นชนิด ASF แน่นอน

ในที่สุดแม้หาหนังสือไม่เจอ แต่ก็เจอโรคที่นครปฐม (จุดกำเนิดสุวรรณภูมิ/ประเทศไทย) เข้าจนได้ มันสายไปมากแล้วครับ หมูตายไปเกือบ 10 ล้านตัว ผู้เลี้ยงขนาดกลางขนาดเล็กจึงตายตาม (โรคสตางค์หมด) แต่มหาเศรษฐีฟาร์มใหญ่ซึ่งมีความสามารถนำระบบ GAP มาใช้ได้จึงยังสามารถนั่งเกาพุงสบายใจ แถมตรุษจีนนี้ยังจะแจกอั่งเปาแบบซื้อหนึ่งแถมหนึ่งกันแบบไม่อั้นเลย (สาธุ) แต่หมูราคาแพงลิ่ว ผู้คนเขาด่ากันเซ็งแซ่

ผมขอเรียนท่านรัฐมนตรีเฉลิมชัย รัฐมนตรีช่วยประภัตร เพื่อนรักและอธิบดี ปศ.ว่า ผู้คน สื่อและนักวิชาการ เขาไม่เชื่อพวกท่านหรอกว่า โรค ASF เพิ่งเกิดในเมืองไทยเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว (ถ้าบอกว่า 2 ปีที่แล้วอาจจะเชื่อ) สำหรับอธิบดีนั้นทั้งน่าสงสารและน่าตีก้นนัก ทำไมท่านไม่ดูว่า รุ่นอาวุโสที่ผ่านมาเขาเคยทำกันมาอย่างไร อะไรทำให้พวกท่านอ้ำอึ้ง/เชื่องช้าแบบนี้ ที่เขาลือๆ กันน่ะ มันไม่เป็นมงคลเลยนะ

การฟื้นฟูสัตว์เลี้ยงขนาดใหญ่ต้องใช้เวลามาก เรื่องหมูผมคิดว่า ต้องไม่ต่ำกว่า 2-3 ปี เพราะขณะนี้ ไม่มีพ่อแม่พันธุ์เหลือแล้ว อยากแนะนำคณะเพื่อไทย (ไม่รู้เขาจะเชื่อหรือเปล่า) ประกาศเป็นนโยบายไปเลย จะหาลูกหมูพันธุ์ชั้นดีแจกเกษตรกร 5 คู่ และให้เงินสนับสนุนฟาร์มขนาดเล็กให้มีเครื่องไม้เครื่องมือที่จะสามารถปฏิบัติตามระบบ GAP ให้ได้ (land slide แน่นอน) ไอ้เดินสายขายของถูกน่ะขอทีเถอะ มันไม่ยั่งยืน เสียชื่อหัวหน้าพรรคเก่าแก่เปล่าๆ ด้านท่านผู้นำก็อย่าเพิ่งไอเดียกระฉูด แนะนำให้เลี้ยงอะไรแทนนะครับ และผู้คนเขาถามว่า งานเยอะมากหรือถึงเพิ่งเรียกอธิบดีมารายงาน ส่วนท่านอธิบดีก็ขอให้ระวัง อาจเกิดโรคแปลงพันธุ์ @หมูกลายเป็นแพะได้นะครับ”..