เมื่อวันที่ 23 ก.ค.  นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า  ในวันนี้ (23 ก.ค.) เวลา 19. 00 น.  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ประชุมติดตามการบริหารจัดการดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 รวมถึงการบริหารจัดการโรงพยาบาลสนาม พร้อมรับฟังปัญหาและอุปสรรคการทำงาน เพื่อนำไปสู่แนวปฏิบัติที่เหมาะสมต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข  พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย  พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้แทนโรงพยาบาลสนามจากกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงกลาโหม และกรุงเทพมหานคร เข้าร่วมหารือด้วย  โดยที่ประชุมมีข้อสรุปในเบื้องต้นว่า 1. เร่งจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเพิ่ม เพื่อรับผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่มีอาการ ให้เข้าถึงการรักษาและสถานพยาบาลให้มากและเร็วที่สุด

นายอนุชา กล่าวอีกว่า  2.เพิ่มขีดความสามารถโรงพยาบาลสนามที่มีอยู่ ให้สามารถรองรับผู้ป่วยสีเหลืองและสีแดงให้มากขึ้น  3.เห็นชอบแนวทางการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน (Home Isolation) และการดูแลผู้ป่วยในชุมชน (Community Isolation) อย่างเป็นระบบ โดยจัดให้มีทีมแพทย์คอยติดตามอาการ ชุดเวชภัณท์และยาที่จำเป็นเพี่อคัดแยกผู้ป่วย ลดการแพร่เชื้อภายในครอบครัวและชุมชน  สำหรับผู้ป่วยที่สามารถกักตัวที่บ้านได้นั้นจะจ่ายยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจร เครื่องวัดอุณหภูมิ และเครื่องวัดออกซิเจน  ส่วนผู้ป่วยที่ไม่สามารถกักตัวที่บ้านได้จะถูกนำส่งศูนย์พักคอยหรือจุดดูแลผู้ป่วยในชุมชน ซึ่งกรุงเทพมหานคร (กทม.) จะตั้งศูนย์พักคอยให้ครบทั้ง 50 เขต  4.ให้เจ้าหน้าที่ทหารมาร่วมช่วยเหลือในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย รวมถึงการจัดส่งอาหารและยาให้ผู้ติดเชื้อที่รักษาตัวที่บ้านและที่ชุมชนในแต่ละวันอย่างต่อเนื่อง

นายอนุชา กล่าวว่า  5.ให้รัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยประสานผู้ป่วยกลับไปรักษาตัวในภูมิลำเนาได้ ตามมาตรการสาธารณสุขที่กำกับการเคลื่อนย้ายทุกขั้นตอน เพี่อลดปัญหาการได้เข้ารับการรักษาในกทม.ที่มีข้อจำกัดเรื่องเตียง  6.สนับสนุนทีมปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาโควิด-19 เชิงรุก หรือซีซีอาร์ที อย่างต่อเนื่อง โดยจะลงพื้นที่ทั้ง 50 เขต เพื่อตรวจคัดกรองเชิงรุกค้นหาผู้ติดเชื้อในชุมชนให้ครอบคลุมและทั่วถึง  7.ปรับปรุงระบบการรับเรื่องผ่านโทรศัพท์สายด่วนต่างๆ ให้สามารถประสานข้อมูลร่วมกัน เพื่อนำผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบการรักษาโดยเร็ว   นอกจากนี้  นายกฯได้ย้ำถึงความสำคัญของการสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประชาสัมพันธ์ในระดับพื้นที่ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลที่เป็นจริง ควบคู่กับการเดินหน้าจัดหาวัคซีนให้มากที่สุดเพื่อเร่งฉีดให้กับประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง ซึ่งในขณะนี้ในพื้นที่ กทม.มีการฉีดวีคซีนเกินกว่าร้อยละ 50 ของประชากรแล้ว

นายอนุชา กล่าวอีกว่า  นายกรัฐมนตรียังได้กล่าวขอบคุณทุกหน่วยงานที่ได้ให้การสนับสนุน การทำงานในทุกมิติเพื่อดูแลรักษาผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นี้พร้อมขอเป็นกำลังใจให้แพทย์ บุคลากรด้านสาธารณสุข และคนทำงานจากทุกหน่วยงานที่ร่วมใจดูแลผู้ป่วยอย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย โดยนายกรัฐมนตรียินดีและพร้อมรับฟังปัญหาและอุปสรรค เพี่อจะได้ร่วมช่วยหาวิธีแก้ไขและนำไปสู่แนวทางที่เหมาะสมในการทำงานของทุกหน่วยงาน