เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติฯ จ.เชียงใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิด FTI EXPO 2022 : SHAPING FUTURE INDUSTRIES FOR STRONGER THAILAND โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้ประเทศไทยกำลังพบกับ สายลมแห่งความเปลี่ยนแปลง และจะอยู่ไปอีกนานอาจเป็นพายุขึ้น วันนี้เป็นต้นๆ ของพายุ จึงต้องมาพูดคุยกันให้เข้าใจทั้งรัฐ สมาคมหอการค้าฯ เราต้องจับมือไปด้วยกัน ทั้งนี้ขอเปรียบเทียบประเทศไทยเหมือนรถยนต์คันหนึ่ง ที่พาคนกว่า 70 ล้าน ขับเคลื่อนไปข้างหน้าบนเวทีโลก ทำอย่างไรให้เครื่องยนต์นี้เดินไปให้ได้ไม่หยุด เครื่องยนต์ไม่ติดขัด จึงต้องเตรียมรถให้พร้อม เพื่อพาคนขึ้นรถให้ได้

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่าวันนี้มีวิกฤติต่างๆ จากความขัดแย้งและโควิด ซึ่งเป็นห่วงโซ่กระทบกันหมด แต่ขอให้ดูว่า รัฐบาลทำอะไรไปแล้วบ้าง หลายคนอาจมองทำไมยังไม่ได้รับประโยชน์ แน่นอนความลำบาก นายกฯ เจ็บปวดและเห็นใจอะไรทำได้ก็จะทำให้ด้วยความระมัดระวัง อีกทั้งวันนี้โลกแบ่งหลายขั้ว เราต้องเตรียมการรองรับด้วย ถ้าไม่เตรียมการวันนี้ เครื่องยนต์รถคันนี้จะไปไม่ได้ จอดตาย ผู้โดยสารไปไม่ถึงที่หมาย ประเทศไทยไม่พ้นประเทศกับดักรายได้ปานกลาง ซึ่งหลายอย่างกำลังทำอาจไม่เร็วนักแต่ถ้าเราร่วมมือและเข้าใจกันมันต้องดีกว่าเดิม

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า วันนี้ดีใจที่เห็นหลายคนยังไม่ถอดหน้ากากอนามัย ซึ่งตอนให้ใส่ไม่อยากใส่ และพอให้ถอดไม่อยากถอด แล้วแต่ท่านบังคับคงไม่ไหว ถ้าไม่อยากเป็นก็ขอให้ใส่ ไม่ต้องกลัวจะถูกบูลลี่ว่ายังใส่หน้ากาก เพราะคนพูดติดไปเยอะแล้ว

พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันรัฐบาลรับฟังทุกฝ่าย แต่ปัญหาหลายปัญหาเกี่ยวข้องกฎหมาย วันนี้เราทำในช่วงแรกให้อยู่รอดปลอดภัยจากโควิด ปลอดจากการล้มละลาย และเดินหน้าไปสู่ความพอเพียงที่ทุกคนมีรายได้และความยั่งยืนเพื่อทำให้รากฐานเศรษฐกิจของเราขยายตัวต่อเนื่อง ขณะเดียวต้องมองว่าช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อะไรเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งหลายคนอาจอายุยังน้อย ตนจะโทษไม่ได้ เพราะหลายคนเกิดมาก็เห็นและชินกับสิ่งเหล่านี้ เกิดมามีรถไฟฟ้า รถติดแอร์ เลยคิดว่าไม่มีอะไรใหม่ แต่กว่ามาตรงนี้มีการพัฒนาที่ต่อเนื่องมายาวนาน ดังนั้นทำอย่างไรให้เข้าใจและเห็นภาพอดีตที่ผ่านมาแล้วจะได้รู้ว่าอะไรคือประวัติศาสตร์และความเป็นมา ซึ่งก่อนมีวันนี้เราลำบากกันมาหรือไม่

นายกฯ ยังกล่าวกระเซ้าช่วงหนึ่งด้วยว่า “พูดสู้เขาไม่ได้อยู่แล้ว พูดไม่ดีจะโดนโห่ด้วย” และว่า ขณะที่วางยุทธศาสตร์ ยืนยันว่าไม่ใช่รักษาอำนาจไป 20 ปี แต่วางยุทธศาสตร์เพื่อเป็นแผนและกรอบการทำงาน ซึ่งจะเห็นว่าทุกอย่างเกิดขึ้นมา ทั้งถนน รถไฟฟ้า และอื่นๆ

“วันนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือความรัก ความสามัคคีเสถียรภาพทะเลาะกันไม่ได้อีกแล้ว ผมไม่ต้องการทะเลาะกับใคร และผมทำให้ทุกคน ทำให้ทุกจังหวัด ลงแผนงานโครงการให้ทุกจังหวัด แม้ว่าจะรักผมหรือไม่ แต่ผมก็ทำให้เขา เป็นหน้าที่ของผม วันนี้เลิกกันเสียทีไม่เกิดอะไรขึ้น ไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย สิ่งที่ทำมาแต่สูญเปล่าไปเฉยๆ เราต้องการเห็นประชาชนก้าวหน้าประชาชนอยู่ดีกินดี แข่งขันกับประเทศอื่นได้ เราต้องจับมือเดินหน้าไปด้วยกัน”

นายกฯ กล่าวย้ำในช่วงท้ายอีกว่า “ผมหวังรถยนต์ประเทศคันนี้วิ่งไปข้างหน้า ไม่ถอยหลัง ไม่ตายอยู่กับที่ จะเป็นจะตายก็ต้องช่วยกันเข็น ส่วนใครจะนำก็ต้องว่าไป​แต่สิ่งที่ทำวันนี้ต้องต่อเนื่อง ถ้าบอกว่าไอ้นู่นก็ไม่ดีไอ้นี่ไม่ใช่ ก็ไม่ถูก ผมไม่ได้ว่าใคร ว่าตัวเอง ผมชอบพูดหาเรื่องแบบนี้แหละ แต่พูดด้วยหัวใจ หัวใจของผมเพื่อประชาชน”

ทั้งนี้มีรายงานว่าในการลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ครั้งนี้ ใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจคุ้มกันถึง 2,120 นาย แบ่งเป็น สภ.เมือง 230 นาย สภ.แม่ปิง 70 นาย สภ.ภูพิงฯ 70 นาย สภ.ช้างเผือก 250 นาย สภ.สารภี 275 นาย สภ.สันกำแพง 50 นาย สภ.แม่ริม 65 นาย สภ.แม่แตง 180 นาย สภ.สันทราย 60 นาย กลุ่มงานจราจร 160 นาย กก.สสภ.จว.เชียงใหม่ 130 นาย คฝ.ภ.จว.ลำพูน 180 นาย คฝ.ภ.จว.ลำปาง 180 นาย บก.สส.ภ.5 210 นาย EOD ตร. 10 นาย และสันติบาล 40 นาย.