เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งหนุ่มที่เติบโตมาอย่างมีคุณภาพ  สำหรับไอดอลหนุ่ม จอน จองกุก (Jeon Jungkook) น้องเล็กของบอยแบนด์ระดับโลก “บีทีเอส (BTS)”  เจ้าของฉายา “มักเน่ทองคำ” ซึ่งหนุ่ม จองกุก ไม่ได้มีเพียงแค่รูปร่างหน้าตาที่งดงามเท่านั้น แต่เขายังเปี่ยมล้นไปด้วยพรสวรรค์และความสามารถที่หลากหลาย  ยิ่งไปกว่านั้นคือความมุมานะพากเพียรไม่มีสิ้นสุด ชนิดว่าอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ ต้องหาทำอะไรตลอด ล่าสุดหนุ่ม จองกุก ได้เผยเรื่องราวเหล่านี้ผ่านการสัมภาษณ์กับทางสื่อดัง “GQ KORE” งานนี้ “ฮาอึน” จึงไม่พลาดนำบทสัมภาษณ์บางส่วนจาก (GQ Australia) มาฝากเหล่า “อาร์มี่ (ARMY ชื่อแฟนคลับ)” ชาวไทย ให้ได้หายคิดถึงกัน

Q : เดาว่าคุณน่ากำลังจะจัดเป๋าเดินทางอีกเร็ว ๆ นี้ ซึ่งคุณมักแบกกะเป๋าใบใหญ่ไปทัวร์ต่างประเทศเสมอ?

จองกุก :  อา… ใช่ครับ แต่ว่าข้างในนั้นก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก

Q :  แล้วทำไมกระเป๋าของคุณถึงได้ดูใหญ่โตและเต็มไปหมดล่ะ?

จองกุก :  คือแม้แต่การตกแต่งห้องของผม ผมก็ต้องแน่ใจว่าจะมีพื้นที่สำหรับเก็บของเยอะ ๆ ครับ และแม้ว่าจะมีพื้นที่มากพอ แต่ผมก็จะเหลือพื้นที่พิเศษเพิ่มเติมเอาไว้ด้วย เผื่อในกรณีที่ผมนำอะไรติดตัวกลับมา นั่นจึงเหตุผลที่ผมซื้อกระเป๋าเดินทางที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แม้ว่าข้างในแทบไม่มีอะไรเลย ผมก็มักจะหยิบเอากระเป๋าใบใหญ่ที่สุดครับ

Q :  เคยสงสัยนะว่าคุณจะเอาอะไรติดตัวไปในทริปเดินทางสู่สหรัฐอเมริกาครั้งแรกในรอบ 2 ปี แต่ตอนนี้กลับสงสัยว่าคุณนำอะไรกลับมาบ้าง?

จองกุก :  ผมนำบรรยากาศของสถานที่จัดคอนเสิร์ตติดตัวกลับมาครับ

Q :  คุณยังคงตื่นเต้นและกังวลใจอยู่มั้ย?

จองกุก :  แน่นอนครับ มันไม่ใช่แบบผม ‘ยังคง’ รู้สึกแบบนั้นอยู่นะ  ความคาดหวังที่ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ก็มีความทรงจำที่งดงามอีกมากมาย แต่เมื่อมองย้อนกลับมา สิ่งหนึ่งที่ผมบอกตัวเองว่าจะไม่มีวันลืมเลย ก็กลายเป็นเหมือนความฝันและดูเลือนลาง ผมตระหนักได้ว่าผมไม่สามารถจดจำสิ่งเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นประสบการณ์เหล่านี้ จึงจะยิ่งล้ำค่ามากขึ้นอีก ผมตื่นเต้นและกังวลมากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้อีกครับ

Q :  สำหรับดนตรีที่คุณฟังเมื่อตอนอายุ 14 สงสัยจังเลยว่ารสนิยมทางด้านดนตรีของคุณเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน จากตอนที่คุณอายุ 15 ช่วงเวลาเมื่อคุณเริ่มเป็นเด็กฝึก จนถึงตอนนี้ เมื่อคุณอายุครบ 25 ปี คุณมาสามารถบอกเกี่ยวกับบุคคลนั้น ๆ ได้จากรสนิยมทางดนตรีของพวกเขานะ?

จองกุก :  ผมอยู่เกรด 9 ตอนอายุ 14 ปี ว้าว!  ผมจำได้ว่าผมร้องไปตามเสียงเพลงที่เปิดอยู่ในห้องเต้นรำ เมื่อตอนที่ผมไปแฮงเอ้าท์และฝึกเต้นบีบอย ส่วนในตอนนี้ ผมฟังดนตรีประเภทที่ผมอยากจะทำ แนวเพลงที่ผมคิดว่ามันดี ตั้งแต่โมเม้นต์ครั้งแรกที่ได้ฟังมัน ซึ่งก็มีอยู่หลายเพลงเลยครับที่ไม่รู้ชื่อเพลงหรือแม้แต่ชื่อศิลปิน ผมรู้แค่เพียงเมโลดี้

Q :  คุณคิดว่า “ดนตรีที่ดี” คือยังไง?

จองกุก :  มันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และอารมณ์ของผมจริง ๆ นะ แต่เมื่อพูดว่าผมรู้สึกแย่ ผมก็เป็นคนประเภทที่ฟังดนตรีเศร้า ๆ และก็หมกหมุ่นอยู่กับความเศร้าของตัวผมเองครับ

Q :  เห็นก่อนหน้านี้บอกว่าคุณชอบจุดเทียนหอมในห้องมืด ๆ?

จองกุก :  ใช่ครับ คือผมพยายามลิ้มรสความเจ็บปวดใจนะ ผมจะเล่นดนตรีเศร้า ๆ และโอบล้อมไปด้วยความเศร้า และตอนที่ผมอยู่ในรถตอนกลางคืน ผมก็ชอบฟังดนตรีที่นิ่ง ๆ สงบ ๆ ส่วนในช่วงกลางวัน ก็จะเป็นดนตรีสนุก ๆ บางครั้งผมก็จะค้นหาสิ่งที่กำลังอินเทรนด์ และเวลาอื่น ๆ อะไรที่เก่า ๆ คือผมก็ไม่เข้าใจอารมณ์ของตัวเองดีนักหรอก แต่ว่ามันก็มีหลายครั้งนะ ที่ผมฟังบางเพลงแล้วก็รู้สึกงั้น ๆ แต่เมื่อกลับมาฟังเพลงนั้นอีกครั้ง กลับรู้สึกเซอร์ไพร้ส์ที่มันดีได้ขนาดนี้ นี่เลยเป็นสาเหตุที่ผมฟังเพลงแบบสุ่มไปเรื่อย ๆ ครับ

Q :  เรารู้สึกซึ้งใจกับท่อนที่ว่า “แม้แต่ละก้าวของเรา จะมีจังหวะไม่ตรงกัน”   ในเพลง “Still With You” เพลงของคุณ มันดูเจ๋งมากเลยนะ ที่คุณยอมรับสิ่งนั้นได้ แทนที่จะเร่งเร้า (คุณและ ARMY) ต้องก้าวเดินในจังหวะที่ตรงกันเสมอ?

จองกุก :  ในตอนนั้นผมก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเจ๋งนะ แต่ผมเดาว่ามันน่าจะฟังดูเจ๋งดีในตอนนี้ ตอนที่ผมเขียนเนื้อเพลงเหล่านั้น ทุกคนทนทุกข์ทรมานมาก ๆ ในช่วงโควิด 19 เราไม่สามารถมาเจอกันได้ และก็ช่วยไม่ได้เลยที่คุณจะรู้สึกว่าต้องห่างไกลกัน ผมอยากแชร์สิ่งเหล่านี้ว่า แม้เราอาจมีจังหวะก้าวเดินที่ไม่ตรงกัน แต่ผมก็ยังอยากจะเดินไปพร้อมกับอาร์มี่ครับ

Q :  คุณยังคงสนใจในการเขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ ที่มันแตกต่างจากประสบการณ์ของคุณอย่างสิ้นเชิงอยู่มั้ย?

จองกุก :  คุณจำเป็นต้องมีจิตนาการที่ยอดเยี่ยมในการแต่งเรื่องราวนั้นใช่มั้ยล่ะครับ? ผมอิจฉาคนที่มีจิตนาการสูง ๆ คือผมวาดรูปได้แย่มาก แต่ก็มีคนที่เขาสามารถวาดสิ่งที่อยู่ในหัวของพวกเขาออกมาได้ ซึ่งผมไม่ใช่คนประเภทนั้นเลย แล้วมันก็กลายเป็นว่าผมไม่ค่อยเก่งในเรื่องของการแต่งเรื่องขึ้นด้วยครับ

Q :  หากคุณเป็นช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของวัน คุณคิดว่าตัวเองจะเป็นช่วงเวลาอะไรดี?

จองกุก :  หมายถึงนาฬิกาแบบ 24 ชั่วโมงใช่มั้ยครัย อืม… อาจเป็นตอนตีสองนะ  

Q :  ทำไมเป็นเวลานั้นล่ะ?

จองกุก :  มันเป็นเวลาที่งุ่มง่าม น่าอึดอัดใจดีครับ

Q :  เวลาที่น่าอึดอัดใจเหรอ?

จองกุก :  สำหรับผมนะ อย่างน้อย ๆ ผมจะนอนประมาณตี 4 แล้วเวลาตอนตี 2 มันก็เป็นช่วงเวลากลางคืน ตอนที่ผม ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำบางอย่างดี หรือจะเข้านอนดี  ตอนนี้ชีวิตของผมก็เป็นแบบนั้นแหละครับ ผมมีเรื่องให้คิดมากมาย สิ่งที่ผมควรทำ และสิ่งที่ทำได้จริงด้วย  ใช่เลย นั่นแหละเลยเป็นเหตุผลที่ผมจะเป็นช่วงเวลาตีสองครับ

Q :  ตอนเตรียมการสัมภาษณ์ครั้งนี้ มันทำให้นึกถึงที่ครั้งนึง “ชูก้า” เคยบอกว่าสายงานนี้ ก็เหมือนการไป ๆ มา ๆ ระหว่างอ่างน้ำเย็นและอ่างน้ำร้อน แต่คุณดูเหมือนจะอยู่ในงานอ่างน้ำเย็นอยู่เสมอเลย?

จองกุก : ทำไม ทำไมครับ

Q : เพราะว่าคุณนั้นยังคงอดทนต่อความหนาวเย็น คุณอยู่ในจุดที่สามารถเข้าไปอยู่ในที่ที่อบอุ่นและสบายได้ แต่คุณก็เลือกที่จะลงโทษตัวเองแทน แม้กระทั่งตอนนี้ คุณก็ร้องไห้หลังจากที่แสดงเสร็จ เพราะว่าคุณรู้สึกว่าคุณยังทำได้ไม่ดีพอ?

จงกุก หัวเราะเบา ๆ

Q :  เราคิดว่ามันคือความพากเพียร วิริยะ ไม่ย่อท้อ?

จองกุก :  ผมอยากจะขอบคุณมาก หากคุณอธิบายว่ามันเป็นความพากเพียร ไม่ย่อท้อ แต่…ผมก็แค่อยู่นิ่งไม่ได้ คือผมค้นพบว่ามันยากที่จะหยุดพักนาน ๆ ผมหมายความว่ามันยากในใจผมครับ ดังนั้นเลยจำเป็นต้องหาทำอะไรสักอย่าง แม้ว่าผมจะบอกกับตัวเองว่า ‘ปล่อยวางทุกอย่างลง อย่ากังวลกับเรื่องอะไรเลย และควรจะมีวันให้กับตัวเองบ้าง’  แล้วผมก็จะลงเอยด้วยการทำอะไรสักอย่างอยู่ดี ยังไงก็ตาม  เพราะว่าผมก็จะเป็นแบบนี้ ผมคิดว่ามันดีกว่านะในการทำงานให้หนักขึ้น แม้ว่าผมจะเกลียดการออกกำลังกาย แต่ผมก็ออกกำลังกาย และถ้าผมคิดถึงเมโลดี้ ผมก็จะไปอัดมันทันที หรือจู่ ๆ หากผมอยากเขียนเนื้อเพลงขึ้นมา ผมก็จะเขียน ๆ ลบ ๆ มัน รวมทั้งหากผมเห็นหนังสือภาษาอังกฤษอยู่ตรงหน้า ผมก็จะอ่านมันแบบผ่าน ๆ ผมพยายามทำหลายสิ่งอย่างอยู่เสมอครับ แม้ว่าผมไม่ได้ลงลึกในการทำมากมายนัก แต่มันน่าจะดีหากผมได้ทำมัน นี่ก็เป็นชีวิตของผมในทุกวันนี้ครับ

Q :  หากให้คุณวาดภาพเหมือนตัวเอง คุณจะวาดตัวคุณเป็นยังไง?

จองกุก :  อืม…เป็นรูปหกเหลี่ยมที่หัก ๆ แตก ๆ ครับ

Q :  รู้สึกเหมือนจะรู้ว่าคุณหมายถึงอะไร แต่ให้คุณอธิบายในแบบคำพูดของคุณดีกว่า?

จองกุก : ผมอยากเป็นคนที่สมบูรณแบบอยู่เสมอ  และผมก็พยายามปีนให้สูงขึ้น ผมคิดว่าผมมีความสามารถมากพอแล้ว แต่ผมก็เชื่อว่าผมขี้เกียจด้วยเช่นกัน ผมมีสองแนวโน้มที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง ผมอยากปีนให้สูงขึ้นอีก แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็ไม่อยากทำ พวกเขาพูดกันว่ารูปหกเหลี่ยมคือรูปทรงที่สมบูรณ์แบบ แต่ของผมมันมีรอยแตก มันไม่ได้สมบูรณ์แบบ มันอยากจะเป็นแบบนั้นนะ แต่ว่ามันก็ยังคงมีแตกหักครับ

Q :  เนื่องจากเมื่อผู้คนมองมาที่ “ฺBTS” เมื่อพวกเขามองมาที่คุณ พวกเขาบอกกันว่าคุณนั้นมาถึงจุดสูงสุดกันแล้วใช่มั้ย? แต่มันก็ทำให้เราคิดว่า ความกระหายที่ไม่รู้จักพอ และความต้องการที่อยู่ภายในคุณ อาจเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนผลักดันคุณต่อไป?

จองกุก :  ผมยังอยากปีนต่อขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ และก็ไม่ได้กังวลอะไรเกี่ยวกับมันนะ คือชีวิตมันก็ไม่ได้ออกมาในแบบที่เราหวังไว้เสมอไปหรอกครับ และผมก็รู้ว่าผมยังขาดอีกหลายอย่างมาก แต่ผมก็เชื่อมั่นในตัวเอง ผมก็ไม่รู้จะยังไงนะ แต่ผมมีความเชื่อแบบไม่ลืมหูลืมตาเลย ที่บอกว่า ‘ผมทำมันได้’ ดังนั้นผมเลยไม่กังวลครับ

Q :  เมื่อพูดถึงการไปให้สูงขึ้น มันคือตรงไหนกันแน่?

จองกุก :   ตอนที่ผมสามารถเห็นตัวเองในแบบเท่ ๆ ได้

Q : เป็นหกเหลี่ยมที่ไม่มีรอยแตก?

จองกุก :   ถูกต้องครับ บางทีจุดสูงสุดอาจเป็นตอนที่ผมพึงพอใจในตัวเองได้ในที่สุด บอกว่าผมพอใจกับทุกอย่างแล้วในตอนนี้ แล้วผมก็ไม่มีอะไรที่ปารถนาอีก ผมไม่อยากที่จะปีนให้สูงขึ้นไปแล้วครับ

Q :  มีอะไรที่คุณอยากโยนทิ้งไปและมีอะไรที่คุณอยากได้รับอีกบ้าง?

จองกุก :  ผมอยากกำจัดความขี้เกียจ และความคิดที่ไร้ประโยชน์ทั้งหมดอกไป… ความพากเพียรมานะ และมุมานะแบบไม่ลดละ มันเหมือนกันเกินไปมั้ยนะ?

Q :  คุณไม่จำเป็นต้องมานะพากเพียร (Perseverance) เพื่อที่จะเป็นการเพียรพยายามแบบไม่ลดละ (Persistent) ใช่มั้ยล่ะ?

จองกุก :  โอเค ความพากเพียรครับ ผมอยากเพิ่มความมานะพากเพียรครับ

เห็นแพสชั่นในการทำงาน และมุมมองความคิดของหนุ่ม “จองกุก” แบบนี้แล้ว รู้สึกไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาจึงตกหัวใจแฟน ๆ จากทั่วโลกได้อย่างอยู่หมัด!

ฮาอึน / ภาพ GQ , BIGHIT MUSIC / source : gq.com.au