เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคมีคำแนะนำเรื่องการฉีดวัคซีนโควิดเพิ่มเติม โดยย้ำว่าคนไทยควรฉีดวัคซีนอย่างเข็มกระตุ้นอย่างน้อย 3 เข็ม เป็นไปตามความสมัครใจ โดยหลังเข็ม 3 แล้ว สามารถฉีดเข็มกระตุ้นเข็มต่อไปได้ทุกๆ 4 เดือน และอนาคตอาจเป็นปีละครั้ง แต่กลุ่ม 608 (ผู้สูงอายุ 60 ปี, 7 โรคกลุ่มเสี่ยง และหญิงตั้งครรภ์) รวมถึงกลุ่มคนที่ทำงานกับผู้ป่วยหรือคนเสี่ยง เช่น บุคลากรสาธารณสุข แนะนำให้ฉีดกระตุ้นทุก 4 เดือน ตามความสมัครใจ แต่หากมีเหตุผลอื่นๆ เช่นไปต่างประเทศ หรือไปตรวจแล้วภูมิคุ้มกันไม่ขึ้น จะมาขอฉีดก็ได้ โดยสามารถไปขอรับบริการได้ที่ศูนย์ฉีดวัคซีนทุกจุด

“คนที่ถามว่า จะฉีดเข็ม 4 เข็ม 5 เมื่อไร ก็ฉีดทุก 4 เดือน เพราะภูมิคุ้มกันจะตก ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันป้องกันการติดเชื้อ แต่ภูมิคุ้มกันที่ป้องกันความรุนแรงของโรคตกลงไม่มาก จึงเป็นเหตุผลว่าต้องกระตุ้น 3 เข็ม ทุกกลุ่มอายุ ซึ่งในเด็กโตอายุ 12-17 ปี เราแนะนำฉีดเข็มกระตุ้นแล้วส่วนเด็กเล็กอายุ 5-11 ปี เนื่องจากยังเพิ่งฉีดเพียง 2 เข็ม และยังฉีดไม่ครบ จึงต้องรออีก 4 เดือน เพื่อรอดูข้อมูลก่อนว่าต้องฉีดเข็มกระตุ้นหรือไม่” นพ.โอภาส กล่าว

นพ.โอภาส กล่าวว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคอนุญาตให้ฉีดวัคซีนโมเดอร์นาในเด็กอายุ 6-11 ปี เป็นการฉีดแบบครึ่งโด๊ส 0.25 มิลลิลิตร (50 ไมโครกรัม) ห่างกัน 4-12 สัปดาห์ และที่ประชุมยังเห็นตรงกันว่า วัคซีนโควิดสามารถฉีดร่วมกับวัคซีนตัวอื่นในวันเดียวกันได้ หรือห่างกันเท่าใดก็ได้ ยกเว้นวัคซีนโควิดชนิดไวรัลเวกเตอร์และวัคซีนเชื้อเป็นตัวอื่น หากไม่สามารถฉีดพร้อมกันในวันเดียวกันได้ ให้เว้นระยะห่างอย่างน้อย 28 วันหรือประมาณ 1 เดือน

นอกจากนี้ที่ประชุมยังมีการหารือผลการศึกษาของ ศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ และ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ที่ออกมาตรงกัน คือการฉีดวัคซีนสูตรไขว้ “ซิโนแวค-ไฟเซอร์” ในเด็กเล็กอายุ 5-11 ปี ภูมิคุ้มกันสูงกว่าการฉีดไฟเซอร์ 2 เข็ม ข้อดีคือระยะห่าง 4 สัปดาห์ ทำให้ฉีดได้เร็วกว่าไฟเซอร์ 2 เข็ม ที่ต้องห่าง 8 สัปดาห์ ข้อมูลยืนยันตรงกันว่าภูมิคุ้มกันสูงกว่า และอนาคตหากต้องฉีดเข็มที่ 3 ในเด็กเล็ก ก็จะได้ไม่ต้องฉีดไฟเซอร์เยอะจนเกินไปในความกังวลของพ่อแม่ผู้ปกครอง ดังนั้นสามารถเลือกฉีดสูตรไขว้ซิโนแวค-ไฟเซอร์ ได้ตามสมัครใจ.