เมื่อวันที่ 4 ก.ย. น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รมว.กลาโหม พร้อมคณะ ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมแหล่งเรียนรู้พลังงานทดแทน “โครงการโคกอีโด่ยวัลเล่ย์” โรงเรียนศรีแสงธรรม และศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบโคกหนองนา ที่วัดป่าศรีแสงธรรม จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 15 ต.ค.64 ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการในการพัฒนาโครงการดังกล่าวให้เป็นต้นแบบการพัฒนาชุมชนระดับประเทศ โดยพล.อ.ประยุทธ์ได้รับทราบปัญหาเกี่ยวกับเส้นทางเข้า-ออกพื้นที่โครงการนี้ ซึ่งพื้นผิวถนนมีสภาพเป็นดินลูกรัง เมื่อฝนตกถนนจะกลายเป็นโคลน สร้างความยากลำบากในการเดินทางสัญจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนของ รร.ศรีแสงธรรม ที่ต้องนำชุดมาเปลี่ยนที่โรงเรียน เพราะชุดที่ใช้ใส่ในการเดินทางมายังโรงเรียนนั้นถูกดินโคลนเปื้อนเสื้อผ้าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา


พล.อ.ประยุทธ์ จึงสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหานี้ทันที เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชน โดยปัจจุบันได้มีการก่อสร้างถนนลาดยางตั้งแต่ถนนใหญ่ถึงตำบลห้วยยาง ระยะทาง 7.18 กิโลเมตร เข้าไปยังโครงการเสร็จแล้ว สร้างความดีใจให้กับประชาชนที่ใช้สัญจรเดินทางสะดวกขึ้นมาก
 

“จากกรณีดังกล่าวเป็นหนึ่งตัวอย่างที่ถือเป็นผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมจากการลงพื้นที่ตรวจราชการของ พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้ได้รับรู้และสัมผัสปัญหาโดยตรง นำไปสู่การปฏิบัติ ผลักดัน ให้เกิดการแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรมและรวดเร็ว สะท้อนความจริงใจในการทำหน้าที่ ดังนั้นการลงพื้นที่ตรวจราชการของรัฐบาล เป็นไปเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน จากท้องถิ่นเข้มแข็งสู่ประเทศมั่นคง และมั่งคั่ง”

สำหรับ “โครงการโคกอีโด่ยวัลเล่ย์” เป็นโครงการที่น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาดำเนินโครงการฯ โดยเกิดเป็นโครงการพัฒนาแบบร่วมมือกัน ในลักษณะ “บวร” คือ บ้าน วัด โรงเรียน/ราชการ ซึ่งเป็นการสร้างพลังจากท้องถิ่นที่สำคัญในการสร้างความเข้มแข็งจากพื้นที่ รวมทั้งโครงการ “โคก หนอง นา” นโยบายสำคัญของรัฐบาล ที่สามารถนำไปต่อยอดสู่โมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG Economy Model) ตามนโยบายของรัฐบาล สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13

นอกจากนี้ น.ส.ทิพานัน ได้เปิดเผยว่า กรณีพรรคเพื่อไทยเรียกร้องและกดดันที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายของ พล.อ.ประยุทธ์ แนะนำให้ยอมแพ้ ไม่ต่อสู้ในกระบวนการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญนั้น ตนเห็นว่าเมื่อมีผู้ร้องในศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยกรณีการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ และศาลได้สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็หยุดปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งศาลฯ อีกทั้ง ตามกระบวนการวิธีพิจารณาคดีของศาลฯ ก็กำหนดให้ผู้ถูกร้องชี้แจง ซึ่งทีมกฎหมายของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ดำเนินการชี้แจงตามข้อกฎหมายและตามที่ถูกร้อง โดยไม่ได้มีหน้าที่ตัดสินหรือไปเกี่ยวข้องใดๆ ให้เสียกระบวนการ ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้ตัดสินเอง ซึ่งทุกอย่างดำเนินการตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ไม่ได้มีพฤติกรรมกดดันศาลฯ ซึ่งแตกต่างจากการเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทยที่กำลังทำอยู่ จึงขอให้ทุกฝ่ายระมัดระวังในการแสดงความคิดเห็น

การชี้แจงของทีมกฎหมายของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่เครื่องฟอกขาวให้ใคร เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องของการกระทำความผิดทุจริตต่อหน้าที่ แต่เป็นปัญหาการตีความข้อกฎหมาย ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจึงไม่ควรสื่อสารให้สังคมเกิดความสับสน และตนยืนยันว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยึดมั่นในหลักนิติธรรม ไม่ใช่เรื่องจำได้หรือจำไม่ได้ว่าดำรงตำแหน่งมากี่ปี เพราะนี่คือวิธีทางกฎหมาย คือชี้แจงในข้อกฎหมาย พรรคเพื่อไทยจึงควรเคารพกฎหมายและรอฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนการกล่าวหาว่าการทำหน้าที่รักษาราชการการแทนนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ไม่ให้ความสำคัญกับ พล.อ.ประยุทธ์ นั้น พล.อ.ประวิตร เข้ามาบริหารประเทศในระหว่างรอการพิจารณาของศาลฯ เพื่อให้นโยบายต่างๆ ขับเคลื่อนไปได้อย่างไม่เกิดสุญญากาศ ขณะที่ พล.อ.ประวิตร เป็นผู้ที่มีความรู้และความสามารถ มีทั้งแรงปัญญา แรงใจ และแรงกาย ที่จะบริหารประเทศไม่ให้สะดุด และที่สำคัญ พล.อ.ประวิตร สั่งการและทำงานที่ประเทศไทย ไม่ใช่จากต่างประเทศ จึงทันเวลา ทันใจ จริงใจต่อการพัฒนาชาติแน่นอน.