เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง แถลงข่าว “องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ” เกี่ยวกับคดี “ตู้ห่าว” พร้อมโชว์หลักฐานการจับกุม กรณีควบคุมตัว รปภ. แทนเจ้าของผับให้กับสื่อมวลชน ที่ล็อบบี้ โรงแรม เดอะเดวิส คอนเนอร์วิงค์ การแถลงข่าวครั้งนี้ นายชูวิทย์ นำเอาถังใส่น้ำยาฟอกขาว มาร่วมแถลงด้วย โดยะระบุว่า งานนี้จะเป็นสงครามสุดท้ายที่ตนจะทำในฐานะของประชาชน จึงต้องล้มกระดานให้ได้ หากใครจะฟ้องร้องก็ให้ทำไปเลย

เพราะนายตู้ห่าว มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อมกับความผิดทั้งในและนอกราชอาณาจักร โดยกลุ่มจีนเทาเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งในรูปแบบมูลนิธิเถื่อนและการขนส่งยาเสพติด รวมถึงผับ “จินหลิง” ซึ่งคดีนี้ ตำรวจดำเนินคดีตู้ห่าวไปแล้ว 3 ข้อหา เป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด เว้นแต่คดีฟอกเงิน ซึ่งจะทำให้ทราบเส้นทางการเงิน แต่ตนสอบถามกับตำรวจแล้วระบุว่า สาเหตุที่ไม่แจ้งข้อหาฟอกเงิน เพราะคดียาเสพติดมีโทษหนักกว่า ตนจึงมั่นใจว่าตู้ห่าวจะหลุดคดีแน่นอน เพราะมีการทำลายพยานหลักฐานต่าง ๆ ไปแล้ว

นายชูวิทย์ กล่าวว่า วันเกิดเหตุที่ตำรวจเข้าไปตรวจสอบผับจินหลิงนั้น พบชาวจีนกว่า 265 คน พร้อมยาเสพติดจำนวนมาก รวมถึงยังมีพนักงานเสิร์ฟและ รปภ.ชาวไทย แต่เหตุใดผู้บัญชาการตำรวจนครบาล จึงไม่เรียกสอบปากคำผู้ใด ทั้งที่พบผู้มีปัสสาวะสีม่วง และยังจับกุมผู้ดูแลสถานบริการดังกล่าว ซึ่งแท้จริงเป็นเพียง รปภ.เท่านั้น ก่อนจะปล่อยตัวภายหลัง ทำให้พยานแปดเปื้อนและคำให้การต่อศาลไม่อาจเชื่อถือได้ นอกจากนี้ เหตุใดจึงไม่ตรวจสอบโทรศัพท์มือถือนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งอาจมีหลักฐานการแชตพูดคุย ทั้งนี้ เพราะยาเสพติดที่ประเทศจีนมีราคาแพงและมีอัตราโทษสูง หากใครต้องการเสพยาจึงจะมุ่งมาที่ประเทศไทย

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า การแถลงข่าวดังกล่าว นายชูวิทย์ ยังได้กล่าวอ้างทำนองว่า มีตำรวจ 3 นาย ที่ช่วยเหลือให้ผู้ต้องหาหลบหนี โดยเฉพาะกรณีของ นายเดวิด ฮอว์ ซึ่งหลังจากถูกคุมตัวไปฝากขัง ก่อนได้รับการประกันตัว ซึ่งแทนที่จะพาผู้ต้องหาไปส่ง ตม. แต่กลับพาไปส่งกลางทาง ทำให้ผู้ต้องหาหลบหนีออกนอกประเทศไปพร้อมกับหลานของตู้ห่าว

นอกจากนี้ยังมี นายตำรวจที่อ้างว่าไม่สามารถเปิดรถที่ตำรวจยึดมาจากผับจินหลิงได้ โดยอ้างว่าไม่มีกุญแจรถ ทั้งที่รถ 4 คัน มียาเสพติดและเงินสดอยู่ เช่นเดียวกับเครื่องบินส่วนตัวที่ใช้ขนยาเสพติด ตรวจสอบล่าช้า จนไม่เหลืออะไรบนเครื่องบิน การกระทำดังกล่าว จึงมีลักษณะเป็นขบวนการ โดยการฟอกเงินของจีนเทายังใช้วิธีการถือหุ้นไทย ซื้อรถหรู นาฬิกา ซื้อบ้านและคอนโดมิเนียม ซึ่งยังสามารถนำไปขายต่อได้ และยังมอบรถฉุกเฉินสำหรับศูนย์ส่งกลับ รพ.ตำรวจ มูลค่าเกือบ 1 ล้านบาท อีกด้วย

ทั้งนี้นายชูวิทย์ จะได้เดินทางไปร้องเรียนกับ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบนายตำรวจที่เกี่ยวข้องกับการให้ความช่วยเหลือขบวนการจีนสีเทา พร้อมจะขอเสนอตนเอง ต่อ ผบ.ตร.เพื่อเป็นพยานชี้เบาะแสในคดีนี้ทั้งหมด