เมื่อวันที่ 28 มี.ค. นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมาย ได้โพสต์ข้อความระบุว่า สัญญานถอย

1.การเพิ่มค่าตอบแทน แก่ผู้เกี่ยวข้องในการเลือกตั้ง 3 จำพวก คือ อสม. อบต. และกำนันผู้ใหญ่บ้านนับแสนคน มีภาระต้องเอาเงินภาษีของประชาชนไปจ่ายเป็นรายจ่ายประจำเพิ่มขึ้น แต่ไม่มีเงิน จึงกำหนดการจ่ายเพิ่มในปีงบประมาณ 2567

ด้านหนึ่ง สร้างความยินดีให้แก่คน 3 จำพวกนี้ แต่อีกด้านหนึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐกว่า 3 ล้านคนที่ไม่ได้รับค่าตอบแทนเพิ่ม แต่ต้องมีค่าครองชีพสูงขึ้น วันนี้ความจริงปรากฏว่า ค่าตอบแทนเพิ่มที่จะได้ในปีงบประมาณ 2567 คือตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 นั้น ทำท่าจะเป็นค่าตอบแทนทิพย์

เพราะขณะนี้ยุบสภาแล้วไม่สามารถอนุมัติกรอบงบประมาณ 2567 และไม่สามารถ จัดทำกฎหมายงบประมาณ 2567 ได้ เพราะหลังเลือกตั้งกว่าจะได้รัฐบาล ก็เดือนสิงหาคม ไม่ทันที่จะตรากฎหมายงบประมาณ ก็ต้องใช้งบประมาณปี 2566 ไปพลางก่อน ซึ่งไม่มีงบประมาณค่าตอบแทนเพิ่ม จึงต้องกินแห้วกันไปจนกว่าจะทำงบประมาณ 2567 เสร็จ ซึ่งคงจะเสร็จในเดือนมีนาคม 2567 หรือช้ากว่านั้น

และเมื่อถึงเวลานั้นก็ไม่ผูกพันรัฐบาลใหม่ที่จะต้องจ่ายเงินตามที่รัฐบาลปัจจุบันมีมติไว้ เพราะถ้าหากจ่ายก็จะเป็นเหยื่อล่อจระเข้ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ อีก 3 ล้านคน เรียกร้องเงินค่าตอบแทนเพิ่มตามไปด้วย ก็จะฉิบหายวุ่นวายไปหมด ดังนั้น ท่านผู้เป็น อสม. อบต. และกำนันผู้ใหญ่บ้านก็ต้องทราบเรื่องนี้ไว้ก่อนจะได้ไม่เสียใจในภายหลัง!!!!!

2.กระบวนการยุบพรรค ดูในเชิงกฎหมายแล้ว อาจเกิดขึ้นหลังปิดสมัครรับเลือกตั้ง และก่อนประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง

และถ้าเป็นเช่นนี้ผู้สมัคร สส. ของพรรคที่ถูกยุบ ก็เดี้ยงหมดทั้งพรรค ไม่สามารถย้ายพรรคได้ และไม่สามารถเป็น ส.ส.ได้ ดังนั้น จึงต้องจับตาดูว่าจะแก้เกมกลนี้ด้วยแผนจักจั่นทองลอกคราบหรือไม่

แต่ทว่ายามดินฟ้า อากาศเปลี่ยนแปลง ดังที่คุณสมศักดิ์ เทพสุทิน ท่านพูดนั้น ความแน่นอน ก็คือความไม่แน่นอน และอาจทำให้แผนยุบพรรคแป๊กก็ได้

3.พลเอกประยุทธ์ ไม่มีชื่อในปาร์ตี้ลิสของ รทสช. จึงไม่ต้องสนใจเรื่องปัญหาคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้ง แต่คงเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของ รทสช. ความหมายคือถ้าได้ ส.ส.ไม่ถึง 25 คน ก็จะอำลาทางการเมือง ซึ่งอาจตีความได้ว่าเป็นสัญญาณถอยขั้นที่ 1

#นับถอยหลังการเลือกตั้ง