เมื่อวันที่ 6 ก.ย. นายธีรศักดิ์ เพ็ชรรักษา อายุ 20 ปี อยู่บ้านเลขที่ 46 หมู่ 11 ต.ไทยสามัคคี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา อาชีพพ่อค้าขายส้มตำ ใน อ.วังน้ำเขียว ร้องเรียนกับผู้สื่อข่าว ว่า ก่อนหน้าได้สมัครเล่นเกมออนไลน์โดยให้ข้อมูลส่วนตัว และรหัสถอนเงินบัญชีธนาคาร หลังจากนั้นมีเงินโอนผ่านเข้ามาในบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาวังน้ำเขียว แล้วโอนออกทันที ยอดรวมแล้วเกือบ 3 ล้านบาท โดยมีการทำรายการ 611 ครั้งในเวลา 2 วัน คือวันที่ 16 และ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา จากนั้นได้รับหมายเรียกของสถานีตำรวจนครบาล และสถานีตำรวจภูธรหลายจังหวัดทั่วประเทศ กลายเป็นผู้ต้องหาคดีฉ้อโกงทรัพย์

นายธีรศักดิ์ เปิดเผยว่า ตนเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีมา ยังหางานไม่ได้ จึงมาขายส้มตำ เพื่อหารายได้เลี้ยงตัวเองไปก่อน เมื่อวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล แจ้งว่า ตนไปหลอกฉ้อโกงเงินของชาวบ้าน จำนวนเงินหลายบาท จึงได้เดินทางไปที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาวังน้ำเขียว ทางธนาคารจึงทำการตรวจสอบ พบว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 16 ส.ค. ต่อเนื่องถึง 17 ส.ค. มีเงินโอนเข้ามาจำนวนมาก ตนจึงปรึกษาเจ้าหน้าที่ธนาคาร เพื่อขอปิดบัญชี แต่ขณะที่กำลังดำเนินการขอปิดบัญชีนั้น ยังมีเงินโอนเข้ามาตลอดเวลา เจ้าหน้าที่ธนาคารจึงบอกให้ทำการปิดแอพมือถือของธนาคาร ปรากฏว่า มีเงินเหลือในบัญชี 32,000 บาท จึงปิดบัญชียอดเงินจำนวนดังกล่าว และได้ไปพบพนักงานสอบสวนที่ สภ.วังน้ำเขียว ลงบันทึกประจำวันไว้ พร้อมประสานทนายเข้ามาให้ความช่วยเหลือ ก่อนที่จะประสานกับผู้เสียหายโดยตรงซึ่งได้คืนเงินที่ยังเหลืออยู่ในบัญชีคืนให้ผู้เสียหายไปแล้ว 2 ราย ซึ่งผู้เสียหายก็เข้าใจและถอนแจ้งความไป แต่ยังมีหมายศาล จากพื้นที่ต่างๆ มาอีก คาดว่าจะมีอีกหลายคดี ถึงตอนนี้ยังไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร

ด้านนางสาวศิริพร จิตนอก ซึ่งเป็นญาติของนายธีรศักดิ์ กล่าวว่า ตนพาหลานชายไปที่ธนาคาร เพื่อขอดูสเตตเมนต์เงินมันไหลเข้ามาตลอดเวลา และพบว่ามีเงินไหลออกเวียนเข้าออกตลอดเวลา จึงให้เจ้าหน้าที่ธนาคารปิดบัญชี และไปพบพนักงานสอบสวน ตนตกใจมากไม่คิดว่าจะมีเงินเข้าออกผ่านบัญชีเป็นจำนวนเยอะขนาดนี้ แต่ขณะนี้หลานชายของตนเป็นจำเลยในคดีนี้ไปแล้ว ทั้งที่เพิ่งเรียนจบปริญญาตรีมา ระหว่างรองานอยู่จึงมาขายส้มตำ เพื่อหารายได้เลี้ยงตัวเอง ก็เลยอยากจะวิงวอนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผู้กระทำความผิดมาลงโทษ เพราะตอนนี้หลานชายเดือดร้อนมาก มีหมายเรียกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายพื้นที่ข้อหาฉ้อโกงเงิน

ด้านนายวรเทพ สุขแก้ว ทนายความ ที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือ กล่าวว่า หลังจากที่เข้ามาสอบถามข้อเท็จจริง พบว่ามีผู้เสียหายในหลายพื้นที่ ซึ่งก่อนหน้ามีผู้เสียหายทั้ง 2 ราย คือที่พื้นที่ อ.เทพารักษ์ จ.นครราชสีมา และ สน.บุปผาราม ที่ตกเป็นผู้เสียหายก็ได้ประสานคืนเงินไปแล้ว เนื่องจากตอนปิดบัญชีมีเงินเหลืออยู่ 3 หมื่นกว่าบาท และได้นำเงินไปคืนให้ จบไปแล้ว 2 คดี

ทั้งนี้ จากการสอบถามผู้เสียหายที่โอนเงินเข้ามาทราว่า มี Application ปล่อยกู้สินเชื่อเข้ามาในมือถือ อ่านดูแล้วมีความน่าเชื่อเพราะมีธนาคารต่างๆ มากมาย จึงยื่นเรื่องขอกู้เงินพร้อมเอกสารหลักฐานต่างๆ แต่มีเงื่อนไขต้องเสียค่าใช้จ่าย 15% ซึ่งผู้กู้ก็ยินยอมที่จะจ่ายค่าธรรมเนียมเบื้องต้น แต่หลังจากที่ผู้กู้โอนเงินไปแล้ว ได้รับแจ้งว่าระบบของบริษัทมีปัญหา และหมายเลขบัญชีของผู้กู้ไม่ถูกต้อง จึงให้โอนเงินซ้ำอีก 1 ครั้ง ผู้กู้บางคนก็อยากได้เงินกู้ ยินยอมโอนเงินค่าปรับรอบสองไปอีก เพราะอยากกู้เงิน แต่บางคนเมื่อทราบว่ามีความผิดปกติ จึงขอรับเงินคืน แต่หลังจากโทรฯ ติดต่อกลับไปก็ไม่สามารถติดต่อได้ เพราะปลายทางปิดโทรศัพท์หนีไปแล้ว แต่ความเสียหายมาตกที่เจ้าของบัญชีธนาคารที่ถูกแก๊งมิจฉาชีพแฮกข้อมูล ล่าสุดยังมีหมายศาลมาจากพื้นที่ อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ มาเพิ่มเติม และคาดว่าจะมีมาจากหลายที่ เพราะมีเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 3 ล้านบาท จึงเชื่อว่ายังมีผู้เสียหายอีกหลายคนที่เข้าแจ้งความไว้ในคดีดังกล่าว และจะมีหมายศาลมายัง นายธีรศักดิ์ เรื่อยๆ ถึงต้องแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน และเตรียมนำเอกสารทั้งหมดเข้าไปร้องเรียนขอความช่วยเหลือกับเจ้าหน้าที่กองปราบฯ เพื่อให้ขยายผลติดตามจับกุมเครือข่ายฉ้อโกงออนไลน์นี้ เนื่องจากเชื่อว่าเป็นเครือข่ายใหญ่และมีผู้เสียหายที่โดนหลอกและโดนแฮกบัญชีไปประกอบการทำผิดอีกเป็นจำนวนมาก และเตรียมพาผู้เสียหายรายนี้เข้าขอความช่วยเหลือกับกองปราบฯ เร็วๆ นี้.