เมื่อวันที่ 7 ก.ค. นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “คิดดีดี?”

นายจตุพร กล่าวว่า การเปลี่ยนตำแหน่งประธานสภา จากนายสุชาติ มาเป็นนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ อย่างฉับพลันในช่วง 2 คืนสุดท้ายก่อนประชุมสภาโหวตนั้น ซึ่งคาดว่า มาจากข้อเสนอแลกเปลี่ยนตำแหน่งกันใหม่ จึงทำให้ราบรื่น ง่ายดาย ไม่มีการต่อต้านจากนายสุชาติ ตันเจริญ

สิ่งสำคัญ ได้เปิดเผยเชิงสมมุติถึงการเจรจาจัดวางตำแหน่งทางการเมืองว่า ถ้าต้องการแลกเปลี่ยนตำแหน่งกับบุคคลใด ต้องศึกษาความต้องการของคนนั้นๆ ด้วย เช่นสมมุติว่า คนเคยเป็นรองประธานสภามาก่อน ก็เสนอตามความอยากให้เป็นประธานสภา และเมื่อผิดคำพูดแล้ว จึงเจรจากันใหม่ โดยพิจารณาว่า เขายังมีความอยากจะเป็นอะไรต่อ หากเคยเป็น รมช.มหาดไทย ก็จะเสนอให้เป็น รมว.มหาดไทย ดังนั้น การเสนอแลกเปลี่ยนตามความอยากจะราบรื่น และทำให้ฝันหวาน จึงไม่แตกต่างจากการหลอกต้มตามความอยากกันต่อไปอีก

นายจตุพร กล่าวว่า ตามแผนเดิมในการโหวตเลือกนายกฯ วันที่ 13 ก.ค. นี้ หากนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ไม่ผ่านเกณฑ์มติรัฐสภา 376 เสียงแล้ว จะเปิดโอกาสให้ลงมติเลือกอีกครั้งเพื่อดันไปให้สุดทาง

ดังนั้น เมื่อถึงปลายทางจุดสิ้นสงสัยแล้ว มีข่าวลือตามมาถึงการอ้างให้โหวตเลือกแคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย โดยมีพรรคก้าวไกลยังอยู่ร่วมรัฐบาลได้ ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่มีการพิสูจน์ความเป็นจริงอย่างใด

“การเลือกนายกฯ วันที่ 13 ก.ค. จึงน่ากังวล โดยแผนเดิมของบางฝ่ายที่ตกลงกันไว้จะให้นายพิธา โหวตถึง 3 ครั้ง ตามที่นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาคนที่สองจากพรรคเพื่อไทย กล่าวอ้างไว้คือในวันที่ 13 และ 19 แล้วสิ้นสุด 20 ก.ค. เพื่อให้พิสูจน์เสียง 376 จนสิ้นสงสัย เมื่อไปไม่ได้ก็จะเลี้ยวแยกย้ายข้ามขั้วกันไป แต่การเมืองกลับถูกปั่น” นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร กล่าวว่า ในวันที่ 13 ก.ค. นี้ กลุ่มอำนาจเดิม จึงชั่งน้ำหนัก 50 : 50 กันอยู่ว่า ถ้าสามารถปฏิบัติการงูเห่าเสาวภาได้เรียบร้อย จะเล่นเกมฟัดกันในวันแรก

นายจตุพร กล่าวว่า ถ้า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มีความมั่นใจจากงูเห่าเสาวภาแตก ทำให้เสียงในสภาผู้แทนราษฎรได้เกินครึ่ง คือมีจำนวน 251 เสียงขึ้นไป คงไม่ปล่อยให้เกิดความเสี่ยงไปถึงการโหวตนายกฯ วันที่ 19 หรือ 20 ก.ค. อีกได้ เนื่องสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ

“เสียงงูเห่าที่จะเลื้อยมาหนุนข้ามขั้วนั้น มีรายงานตัวเลขชัดเจนถึงคนที่มาแบบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วจำนวน 40 คน จะมาแบบเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เกิน 63 คน นอกจากนี้ยังมีระบุตัวเลขตามรายงานมา ถ้าคิดแค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ย่อมมีมากถึง 87 คน เมื่อรวมกับ 188 เสียงย่อมเกิน 251 เสียง ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของสภาจำนวน 500 เสียงแล้ว

ถ้ามีงูเห่าบางจำพวกเกิดเบี้ยวไม่มา อีกทั้งมีการโหวตเปิดเผยเรียงตามตัวอักษรแบบปี 2562 ย่อมเข้าสถานการณ์ผีถึงป่าช้า คือ เมื่อคนจัดการแต่ละฝ่ายทั้ง ส.ว. งูเห่า และพรรคเสียงข้างน้อย ถ้าเบี้ยวกันขึ้นมาทำให้เสียงในสภาผู้แทนราษฎรจากงูเห่ามาเพียง 40 คน รวมเสียงยังไม่ถึงครึ่งสถา 500 คน แต่เสียงโหวตนายกฯ (พล.อ.ประวิตร) กลับเกิน 376 แล้ว ส่อจะเกิดความวุ่นวายขึ้นตั้งแต่วันที่ 13 ก.ค. ทันที” นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร กล่าวว่า ด้วยเหตุของไฟเขียวที่ถูกนำมาใช้นั้น ทำให้เกิดข่าวลือปล่อยตาม ทั้งนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ จะลงแข่งชิงนายกฯ แต่ถูกปฏิเสธทันคว้น นอกจากนี้ข่าวลือยังจะนำไปสู่การปฏิบัติการของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในกรณีส่งข้อกล่าวหานายพิธา สู่ศาล รธน. โดยไม่จำเป็นต้องรอ 15 วัน ตามการอ้างขยายเวลาไต่สวนให้เพิ่มอีกก็ได้

“สถานการณ์ทางการเมืองจากนี้ไปถึงโหวตเลือกนายกฯ วันที่ 13 ก.ค. จึงน่ากังวล การตัดสินใจปฏิบัติการฉับพลันย่อมเกิดขึ้นได้ทุกขณะ โดยกลุ่มอำนาจเก่าประเมินทางการเมืองแบบนาทีต่อนาที เนื่องจากเกิดชิงไหวชิงพริบกันถี่กระชั้นขึ้น เพราะไม่ไว้วางใจกับผลเจรจาที่ผ่านมา ซึ่งจะพลาดอีกไม่ได้ จึงหาทางป้องกันไม่ให้ถูกเบี้ยวซ้ำแบบเลือกประธานสภา” นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร ประเมินว่า สถานการณ์ ณ 7 ก.ค. นี้ หากตัวเลขจำนวนงูเห่าเสาวภา ซึ่งอ้างกันว่า มีถึง 87 คนแล้ว คงต้องฟังหูไว้หู เพราะเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ถ้าพิจารณาในสถานการณ์การเลือกตั้งที่ผ่านมา มีคนจากพรรคหนึ่งไปช่วยผู้สมัครอีกพรรคหนึ่งแล้ว ย่อมมีความเป็นไปได้อยู่สูงกับงูเห่าเสาวภาฝากเลี้ยงไว้ ดังนั้น จึงต้องติดตามวันที่ 13 ก.ค. อย่างใกล้ชิด ถึงที่สุด อาจพลิกเป็นอีกแบบหนึ่งก็ได้ เนื่องจากการเมืองชิงไหวชิงพริบกันสูงยิ่งในช่วงนี้