เมื่อวันที่ 30 ส.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ตำรวจแห่งชาติฉบับใหม่ จะมีผลต่อการพิจารณาแต่งตั้งตำรวจได้ยากกว่าเดิมหรือไม่ ว่า ยอมรับว่ายุ่งยากกว่าเดิม เพราะมีการกำหนดไว้ว่า รายชื่อบุคคลต้องมาจากที่ไหน ส่งมาตามลำดับอย่างไร และกำหนดจำนวนโควตาเอาไว้ เช่น ตำแหน่งอะไรขึ้นไปเป็นอะไร 100 เปอร์เซ็นต์ ตำแหน่งอะไรไปเป็นอะไร ใช้อาวุโส 50 เปอร์เซ็นต์ และตำแหน่งอะไรขึ้นไปเป็นอะไร 30 เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น โดยมีเขียนระบุไว้ชัด

ผู้สื่อข่าวถามว่าการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) คนใหม่ ที่จะให้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มาพิจารณา จะต้องยึดหลักเกณฑ์อะไร นายวิษณุ กล่าวว่า ใช้หลักเดียวกัน แต่ไม่ได้แปลว่าใช้โผรายชื่อเดียวกัน

เมื่อถามว่า รอง ผบ.ตร. ที่จะขึ้นเป็น ผบ.ตร. ต้องใช้เรื่องอาวุโส ขึ้นมาพิจารณาด้วยหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ใช้อาวุโสประกอบ แต่ไม่ได้ใช้เรื่องอาวุโสเป็นหลัก ไม่เหมือนกับระดับผู้บัญชาการที่ขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร.

เมื่อถามถึงความชัดเจนหากพิจารณา รอง ผบ.ตร. ลำดับ 4 ขึ้นมา จะทำให้ รอง ผบ.ตร. ลำดับ 1-3 ฟ้องร้องได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบ ไม่ตอบ ต้องไปดูที่ต้นเรื่องว่าใช้เหตุผลอะไรที่เสนอชื่อ ต้องบอกเหตุผลประกอบ หากเหตุผลฟังได้ก็แล้วไป เหมือนกับคราวที่แล้ว การพิจารณากรณีของ พล.ต.อ.สุวิระ ทรงเมตตา กับ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข เป็น ผบ.ตร. โดย พล.ต.อ.สุวิระ มีอาวุโสมากกว่า แต่คนที่เสนอชื่อให้ที่ประชุมพิจารณา ได้อธิบายเหตุผลมาว่าใครเหมาะกว่าใคร เพราะอะไร เพื่อให้ที่ประชุมเป็นผู้ลงมติ ซึ่งไม่จำเป็นต้องลงมติตามที่เสนอ แต่ท้ายสุดที่ประชุมดังกล่าวก็ลงมติตามที่ ผบ.ตร. ตอนนั้นเสนอ เรื่องก็จบ

เมื่อถามว่า พ.ร.บ.ตำรวจฯ ฉบับใหม่ คนที่มีสิทธิเสนอชื่อ ผบ.ตร. ต้องเป็น ผบ.ตร. คนเก่าหรือนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ กล่าวว่า เป็นผบ.คนเก่า แต่เนื่องจาก ผบ.คนเก่ามีส่วนได้เสีย ฉะนั้นจึงกลายเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นคนเสนอ แต่ย้ำว่าเสนอชื่อมาแล้ว ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเอาตามนั้น เพราะการแต่งตั้ง ผบ.ตร. นอกจากเรื่องอาวุโส ต้องดูเรื่องความเหมาะสม และอีกหลายอย่างประกอบด้วย.