ฝรั่งเศสเสียใจอย่างสุดซึ้ง ต่อการตัดสินใจเพียงฝ่ายเดียวของออสเตรเลียที่จะยุติ “โครงการเรือดำน้ำแห่งอนาคต” (Future Submarine Program: FSP) ซึ่งพัฒนาขึ้นภายใต้ความสัมพันธ์แห่งความไว้วางใจ ที่เชื่อมโยงสองประเทศเข้าด้วยกัน จนกระทั่งไม่นานมานี้ รวมถึงการตัดสินใจของออสเตรเลีย ที่จะเข้าร่วมเป็นพันธมิตรทางทหารกับสหรัฐอเมริกา อันนำไปสู่การกันสมาชิกสหภาพยุโรปประเทศหนึ่ง ออกไปจากความเป็นหุ้นส่วนที่กำลังก่อตัวขึ้นในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก 
การตัดสินใจเลือกอย่างทันทีทันใดและสร้างความประหลาดใจเช่นนี้ ไม่เพียงขัดแย้งกับตัวอักษรและเจตนารมณ์ของความตกลงระหว่างสองประเทศเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงการขาดความเสมอต้นเสมอปลาย ในช่วงเวลาที่เราต้องการความคาดการณ์ได้ และความเชื่อถือได้เพื่อให้สามารถรวมกันเป็นหนึ่งเดียวในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก เพื่อสร้างความเป็นหุ้นส่วนที่เข้มแข็ง และทุกฝ่ายมีส่วนร่วมซึ่งจะช่วยเสริมสร้างระเบียบพหุภาคี ที่ตั้งอยู่บนกฎกติกา รวมทั้งเพื่อให้สามารถรับมือกับความท้าทายระดับโลก ปูพื้นฐานการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ที่เป็นธรรมและยั่งยืนในยุคหลังโควิด ส่งเสริมประชาธิปไตย หลักนิติธรรม สิทธิมนุษยชน และพันธกรณีที่ตกลงในระดับสากล 
เช่น  วาระเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 (2030 Agenda for Sustainable Development) เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) และความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Paris Agreement on Climate Change) ตลอดจนเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มั่นคง และมีเสถียรภาพ ดังที่สะท้อนให้เห็นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
 ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกเป็นพื้นที่ซึ่งกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงทางยุทธศาสตร์อย่างลึกซึ้ง อำนาจที่เพิ่มขึ้นและการอ้างสิทธิทางดินแดนของจีน รวมถึงการแข่งขันระดับโลกกับสหรัฐอเมริกาที่กำลังดำเนินอยู่ กำลังสร้างความอ่อนแอให้กับสมดุลอำนาจในภูมิภาคแห่งนี้ นอกจากนี้ บริบทดังกล่าวถูกทำให้เห็นเด่นชัดขึ้น จากภัยคุกคามข้ามชาติ ปัญหาการแพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ และผลกระทบต่อความมั่นคงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เห็นชัดขึ้นเรื่อย ๆ มหาสมุทรเป็นศูนย์กลางของความตึงเครียด การรักษาความปลอดภัยเส้นทางคมนาคมทางทะเลและเสรีภาพในการเดินเรือยังคงเป็นประเด็นสำคัญ
อนาคตของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเกิดขึ้นของมหาอำนาจในภูมิภาค หรือการสร้างพันธมิตรทางทหาร ภูมิภาคดังกล่าวต้องการแนวทางใหม่นั่นคือ ทางสายที่สาม (Third Way) ซึ่งเป็นทางเลือกแทนการเผชิญหน้าที่ตอบสนอง ต่อความต้องการของประเทศในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ประเทศต่าง ๆ รวมถึงไทย ต่างสนับสนุนการพัฒนาสถาปัตยกรรมในภูมิภาค ที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมโดยให้ความสำคัญกับการพูดคุยและความร่วมมือมากกว่าการแข่งขัน
นี่คือแนวทางที่ฝรั่งเศสเสนอ โดยเมื่อ พ.ศ. 2561 ฝรั่งเศสได้เห็นชอบยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อรักษาความเป็นพื้นที่เปิดกว้าง และทุกฝ่ายมีส่วนร่วม ปราศจากการบีบบังคับทุกรูปแบบ และตั้งอยู่บนพื้นฐานของการส่งเสริมพหุภาคีนิยม และการเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ ประเด็นดังกล่าวยังถือเป็นความสำคัญอันดับแรกของสหภาพยุโรป ซึ่งเพิ่งเผยแพร่เอกสารแถลงร่วมว่าด้วยยุทธศาสตร์เพื่อความร่วมมือของสหภาพยุโรปในอินโด-แปซิฟิก (Joint Communication on the European Strategy for Cooperation in the Indo-Pacific) 
การมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันมากขึ้นของสหภาพยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะช่วยรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ในภูมิภาคอันกว้างใหญ่แห่งนี้ได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ สหภาพยุโรปได้สร้างความเป็นหุ้นส่วนที่แข็งแกร่งไว้แล้วในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอาเซียน ซึ่งเราสนับสนุนหลักความเป็นแกนกลางของอาเซียนอย่างเต็มกำลัง
ฝรั่งเศสจะดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรียุโรปตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 โดยมีความมุ่งมั่นมากกว่าที่เคยเป็นมา ที่จะส่งเสริมวาระสำคัญในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อรักษาเสรีภาพในอำนาจอธิปไตยของทุกฝ่าย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถือเป็นศูนย์กลางความสำคัญอันดับแรกของฝรั่งเศส ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากการที่ฝรั่งเศสได้รับสถานะหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาของอาเซียน รวมถึงการแสดงความประสงค์ของฝรั่งเศส ที่จะเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน กับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา (ASEAN Defence Ministers Meeting Plus: ADMM+) ตลอดจนการที่ฝรั่งเศสตัดสินใจที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับประเทศหลัก ๆ ในภูมิภาค อาทิ ไทย โดยฝรั่งเศสและไทยกำลังอยู่ในขั้นตอนการจัดทำ Roadmap เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์
การตัดสินใจที่น่าเสียใจที่เพิ่งประกาศออกมาเกี่ยวกับโครงการ FSP ตอกย้ำความมุ่งมั่นและความจำเป็นของเรา ที่จะต้องส่งเสริมการปรับยุทธศาสตร์ของสหภาพยุโรปให้เป็นอิสระ (European Strategic Autonomy) ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่น่าเชื่อถือ ในการส่งเสริมคุณค่าของเราในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ที่เรามีความยินดีที่จะแบ่งปันวัตถุประสงค์ที่นำเสนอ ในเอกสารมุมมองอาเซียนต่ออินโด-แปซิฟิก (ASEAN Outlook on the Indo-Pacific) ซึ่งได้รับการรับรองเมื่อ พ.ศ. 2562 ภายใต้การดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนของไทย
ด้วยดินแดนโพ้นทะเลและประชาคมโพ้นทะเลซึ่งมีประชากรเกือบ 2 ล้านคน ทำให้ฝรั่งเศสมีเขตเศรษฐกิจจำเพาะใหญ่เป็นอันดับสองของโลก (10.2 ล้านตารางกิโลเมตร) โดยมีบุคลากรทหารประจำการมากกว่า 7,000 นาย ฝรั่งเศสถือเป็นชาติหนึ่งในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกด้วยตัวของตัวเอง และต้องการเป็นมหาอำนาจผู้รักษาเสถียรภาพในภูมิภาคแห่งนี้ ในอนาคตข้างหน้าที่จะมาถึง ฝรั่งเศสจะเปิดตัวประเด็นที่มีความสำคัญอันดับแรก ร่วมกับประเทศหุ้นส่วนในสหภาพยุโรป เพื่อเสนอวิธีการแก้ไขที่เป็นรูปธรรมเพื่อรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สุขภาพ สภาพอากาศ และสิ่งแวดล้อม ที่กำลังเกิดขึ้นกับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค 
เป้าหมายของเรามีความชัดเจน ได้แก่ ความเจริญรุ่งเรืองอย่างยั่งยืนที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม การเปลี่ยนผ่านสีเขียว ที่มุ่งเน้นพลังงานสะอาด การขนส่งที่สะอาด การปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ การจัดการมหาสมุทรที่ยั่งยืน การเชื่อมโยงระหว่างกันที่ดียิ่งขึ้น โดยครอบคลุมการพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนด้านดิจิทัล ตลอดจนความมั่นคงของมนุษย์ โดยให้ความสำคัญอันดับแรกกับประเด็นสุขภาพ
เพื่อดำเนินการตามเป้าหมายเหล่านี้ ฝรั่งเศสและประเทศหุ้นส่วนในสหภาพยุโรปจะยังคงส่งเสริมสถาปัตยกรรมด้านความมั่นคงที่เปิดกว้าง และตั้งอยู่บนกฎกติกา รวมทั้งเส้นทางคมนาคมทางทะเลที่ปลอดภัย การเสริมสร้างขีดความสามารถ และการเพิ่มการแสดงกำลังทางเรือในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ตามกรอบกฎหมายภายใต้อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล (United Nations Convention on the Law of the Sea: UNCLOS) ความมั่นคงและการป้องกันประเทศเป็นเสาหลักสำคัญของยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของฝรั่งเศส ภายใต้ยุทธศาสตร์ดังกล่าว ฝรั่งเศสมุ่งหมายที่จะมีส่วนช่วยให้เกิดความมั่นคงในพื้นที่ต่าง ๆ ของภูมิภาค อาทิ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านการทหารและความมั่นคง 
นอกจากนี้ ฝรั่งยังมุ่งหมายที่จะอยู่เคียงข้างหุ้นส่วนของเรา ในการรักษาการเข้าถึงพื้นที่ร่วมในบริบทการแข่งขันทางยุทธศาสตร์ และสภาพแวดล้อมทางทหารที่ถูกจำกัดมากขึ้น มีส่วนร่วมในการรักษาเสถียรภาพทางยุทธศาสตร์และสมดุลอำนาจทางทหาร ผ่านการดำเนินการระหว่างประเทศโดยอาศัยหลักพหุภาคีนิยม รวมถึงเตรียมการป้องกันความเสี่ยงด้านความมั่นคงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งในบริบทดังกล่าว 

เราจะยังคงยืนยันการแสดงกำลังทางเรือของเราในภูมิภาค พร้อมกับสร้างความหลากหลายและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับความเป็นหุ้นส่วนของเราต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งกับไทย ภูมิภาคแห่งนี้ต้องการความร่วมมือและการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย ไม่ใช่การเผชิญหน้า.

ขอขอบคุณ : สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย