เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. ที่ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง กล่าวปาฐถกาพิเศษ ในหัวข้ออนาคตเศรษฐกิจไทย ในงานสัมมนาวิชาการหลักสูตรวิทยาการการจัดการสำหรับนักบริหารระดับสูง (วบส.) ตอนหนึ่ง ว่า ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ที่เข้ามารับตำแหน่งรัฐบาลมีนโยบายที่มากมาย รวมถึงนโยบายลดค่าครองชีพ ทั้งค่าใช้จ่าย ค่าน้ำมัน และค่าไฟฟ้า โดยส่วนหนึ่งในการลดค่าครองชีพของประชาชนคือการค่าไฟฟ้า ซึ่งรัฐบาลจะกดค่าไฟฟ้างวดม.ค.-เม.ย. 67 ให้เหลือ 4.10 บาทต่อหน่วย หลังคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประกาศค่าไฟฟ้างวด ม.ค.-เม.ย. 67 เป็น 4.68 บาทต่อหน่วย ซึ่งเคยบอกไปแล้วว่าค่าไฟตัวเลขนั้นรับไม่ได้

ทั้งนี้การทำให้ค่าไฟเหลือต่ำกว่า 4 บาท โดยเหลือ 3.99 บาทต่อหน่วยนั้นคงทำไม่ได้ แต่ตัวเลข 4.10 บาทต่อหน่วย ตอนนี้กำลังคุยกันอยู่จะพยายามบีบลงมาให้ได้ ซึ่งแม้ว่าจะลดลงมาเหลือได้ไม่เท่าเดิม แต่ค่าไฟที่ลดลงมานั้นลดลงมาจาก 4.50 บาทแล้ว ส่วนเรื่องการพักหนี้ความตั้งใจรัฐบาลจะพักเป็นครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย แต่ก็พูดไม่ได้เต็มปากว่าจะเป็นการพักครั้งสุดท้ายหรือไม่ เนื่องจากปัจจุบันหนี้พอกพูนมาเยอะ และราคาพืชผลหรือการเพิ่มผลิตผลทางการเกษตร การลดค่าใช้จ่าย เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้ลูกค้า

ขณะที่เรื่องสล็อตบินที่จีนยกเลิกไป ตอนนี้กำลังหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเอาสล็อตไปให้อินเดีย เนื่องจากนักท่องเที่ยวอินเดีย มีจำนวนเข้ามาไทยมากและมีอัตราการจองเที่ยวที่นั่งเต็ม ขณะที่การลงทุนรัฐบาลมีแผนที่เติมเงินเข้ากองทุนเพิ่มขีดความสามารถ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการลงทุน โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้พาผู้บริหารของเทสลาพาไปดูซอฟต์เพาเวอร์ และลอยยี่เป็งที่เชียงใหม่ ซึ่งมั่นใจเต็มร้อยว่าบริษัทเทสลาจะมาตั้งฐานการผลิตในไทย

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ กล่าวถึงผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือนพ.ย.66 ว่า การจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคยังไม่คึกคัก เป็นลักษณะซึมทั้งประเทศ เนื่องจากผู้บริโภคกังวลการเมืองในประเทศ ราคาพลังงานและค่าครองชีพที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง หนี้ครัวเรือนที่สูง ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะชะลอตัวลง ส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจไทยและการจ้างงานมีโอกาสฟื้นตัวได้ช้า ทำให้รายได้ในอนาคตของผู้บริโภคมีความไม่แน่นอนสูง

“ยอมรับว่าเศรษฐกิจน่ากังวล เห็นได้จากความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ลดลงเป็นเดือนที่ 2 อยู่ที่ 57.4 จาก 58.3 ในเดือนต.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคแม้ปรับขึ้นเรื่อย ๆ แต่อยู่ในแดนลบต่อเนื่องเพราะผู้บริโภคระวังการจับจ่ายใช้สอย ดัชนีรายได้ในอนาคตยังไม่ดี เป็นสัญญาณว่า เศรษฐกิจซึม มีหลายอย่างกำลังบ่งชี้ว่า เงินกำลังฝืด รัฐต้องเร่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเร็วที่สุดในช่วงปลายปี และไตรมาสแรก ปี 67 แต่หอการค้าฯยังไม่ปรับเป้าหมายจีดีพี โดยคาดว่าขยายตัวที่ 3-3.5% ซึ่งศูนย์พยากรณ์ฯได้คาดการณ์ไว้ที่ 3% ต้น ๆ เช่นกันหากเรื่องการลงทุนเป็นไปตามคาดและเรื่องการเบิกจ่ายของรัฐที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจในปี 67 เพราะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในทุกโครงการ ถ้างบประมาณเดินไปตามกรอบก็จะเป็นอีกปัจจัยที่อาจทำให้เศรษฐกิจโตกว่าที่คาด”