เมื่อวันที่ 5 ก.พ. ที่สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) มีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) ระหว่าง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา(สพป.) ปทุมธานี เขต 1 กับ พว. ประจำปีการศึกษา 2566-2568 โดยมี ดร.ภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) นายวิวัฒน์ สิรพัธน์โภคิน รอง ผอ.สพป.ปทุมธานี เขต 1 ดร.ศักดิ์สิน โรจน์สราญรมย์ ประธานกรรมการบริหาร พว. ร่วมในพิธี

ดร.ภูธร กล่าวว่า ตามนโยบายของ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ และนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศึกษาธิการ ก็มีการขับเคลื่อนและรณรงค์ให้โรงเรียนจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning เพราะเป็นการเรียนรู้ที่เด็กได้ฝึกปฏิบัติ ลงมือปฏิบัติจริง และมีความสุข เพราะเมื่อนักเรียนเรียนรู้อย่างมีความสุขก็เป็นไปตามนโยบายรัฐมนตรี คือ “เรียนดี มีความสุข” ซึ่งสิ่งหนึ่งที่เห็นเรื่องการพัฒนาคุณภาพทางวิชาการด้วยการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning เป็นสิ่งที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ต้องการให้เกิดขึ้นจริงๆ โดย สพฐ. ตั้งใจและมุ่งหวังที่จะขยายผลไปให้ครบทุกโรงเรียน ซึ่งหลังจากที่ได้ดำเนินการมาแล้วระยะหนึ่งพบว่า เด็กจำเป็นต้องลงมือปฏิบัติจริง ดังนั้นในอนาคตโรงเรียนทุกแห่งน่าจะต้องจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning เพราะเราจะได้เห็นนวัตกรรมที่จะเกิดจากการเรียนรู้ของผู้เรียนผ่านกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps ที่ทำให้เด็กสามารถสร้างความคิดรวบยอดจนเกิดเป็นนวัตกรรมได้ และโดยส่วนตัวมองว่าการที่เด็กได้เรียนรู้แบบ Active Learning ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps ยังช่วยให้เด็กรู้จักคิดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน สามารถป้องกันปัญหาที่อาจจะก่อให้เกิดความรุนแรง หรือ อาชญากรรมได้

นายวิวัฒน์ กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่าง สพป.ปทุมธานี เขต 1 และ พว. ครั้งนี้ถือว่ามาถูกทางแล้ว เพราะจะเป็นการร่วมกันพัฒนาผู้เรียนโดยเน้นกระบวนการคิด ให้ผู้เรียนเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ เป็นคนเก่ง คนดี เป็นนักคิด มีความสามารถทางด้านกระบวนการคิดเชิงลึก โดย สพป.ปทุมธานี เขต 1 จะขับเคลื่อนและผลักดันกระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ด้วยกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ GPAS 5 Steps เข้าไปในโรงเรียนทั้ง 102 โรงเรียนของ สพป.ปทุมธานี เขต 1 เพื่อส่งเสริมให้โรงเรียนทำกิจกรรมที่เน้นกระบวนการคิดสำหรับเด็ก เนื่องจากการเรียนการสอนแบบ Active Learning มีความสำคัญต่อกระบวนการเรียนรู้ของเด็ก เพราะในอดีตเราจัดการเรียนการสอบแบบ Passive Learning ที่เป็นการถ่ายทอดโดยครู แต่ปัจจุบันนี้เราต้องปรับเปลี่ยนมาเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนแล้ว

ดร.ศักดิ์สิน กล่าวว่า การที่ รมว.ศึกษาธิการ และ รมช.ศึกษาธิการ รวมถึง สพฐ. เน้นเรื่องการเรียนการสอนแบบ Active Learning ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมและเป็นปรากฏการณ์การพลิกโฉมประเทศไทยได้อย่างแท้จริง โดยมีผลวิจัยที่ว่า Active Learning พลิกโฉมการศึกษาได้จริง เพราะ Active Learning เป็นการเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติ ต่างจาก Passive Learning ที่เป็นการเรียนรู้ด้วยการถ่ายทอดข้อมูลจากครู ขณะที่ผู้เรียนเป็นผู้ฟัง แต่หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2551 ฉบับปรับปรุง 2560 กำหนดให้เด็กต้องสร้างความรู้เอง และต้องสรุปความรู้ให้เป็นความคิดรวบยอด เพื่อให้ความคิดรวบยอดเชื่อมโยงเป็นหลักการ ซึ่งสามารถนำหลักการนี้ไปใช้ในการเรียนรู้ได้ในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ ซึ่งการจัดการเรียนสอนแบบ Active Learning จะง่ายกว่าการสอนแบบ Passive Learning ที่ครูจะต้องเอาเนื้อหามาอธิบายขยายความ แต่ตอนนี้เพียงครูเข้าใจเนื้อหาและใช้คำถามเป็นตัวดำเนินการผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ โดยครูจะถามนำไปเรื่อยๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าในหนึ่งคำถามมีหลายคำตอบที่หลากหลาย จนเป็นความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้นทั้งตัวเด็กและตัวครู

ด้าน นายดำเนิน คำดา ผอ.โรงเรียนสามัคคีราษฎร์บำรุง สพป.ปทุมธานี เขต 1 กล่าวว่า สำหรับโรงเรียนเริ่มการจัดการเรียนการสอนตามแนวทางดังกล่าวมาประมาณ 3 ปีแล้ว พอปีที่สองเห็นได้ชัดว่านักเรียนกล้าคิด กล้าแสดงออก และมีทักษะ เพราะเราจัดการเรียนการสอนโดยให้นักเรียนศึกษาบริบทของท้องถิ่นท้องที่แล้วนำอาชีพลงสู่การปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาในท้องถิ่น และหลังจากที่ พว.สนับสนุนวิทยากรมาให้ความรู้ครู ก็ได้นำความรู้ไปสู่การปฏิบัติ ทำให้ครูของโรงเรียนมีนวัตกรรม 100% มองว่า วิธีการของ GPAS 5 Steps เป็นคำตอบที่ดีที่สุด เป็นการปรับการเรียนเปลี่ยนการเรียนการสอน ให้นักเรียนมีทักษะการคิดที่ทันกับโลกยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้นักเรียนรู้จักวิเคราะห์ปัญหาในพื้นที่ใกล้ตัวเอง รู้จักการสร้างความรู้ในการแก้ปัญหา และที่สำคัญที่สุดคือรักความเป็นไทย ไม่ลืมรากเหง้าของความเป็นไทย