พอเห็นข่าวนอกจากจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดทางร่างกายแล้ว ที่หนักกว่านั้น คืออารมณ์ร่วมของความเจ็บปวดทางใจ ที่เกิดจากปัญหาความเหลื่อมลํ้า ความไม่เท่าเทียมของชาวตะวันตก และชาวตะวันออกอีกด้วย

เรื่อง “ความไม่เท่าเทียมของชาวตะวันตกและตะวันออก” นั้น เกิดจากเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ และความต้องการขยายอำนาจของชาวตะวันตก โดยย้อนกลับไปราว 800 ปี ที่ชาวตะวันตกหวั่นเกรงอาณาจักรมองโกลตั้งแต่สมัยเจงกิสข่าน ที่พยายามขยายเขต
แดนไปประชิดตะวันตก โดยชาวตะวันตกมีกองกำลังนักรบครูเสดคอยรักษาฐานที่มั่นไว้ และเมื่ออาณาจักรมองโกลล่มสลายลง ชาวตะวันตกก็คิดว่าตัวเองเหนือกว่า เข้มแข็งกว่า ฉลาดกว่า จึงค่อย ๆ รุกคืบเข้ามามีอิทธิพล และหาประโยชน์ในตะวันออกมากขึ้น
เรื่อย ๆ จนมาแข่งกันยึดประเทศต่าง ๆ ของชาวตะวันออกเป็นอาณานิคมเมื่อ 200 ปีที่แล้ว เมื่อเพื่อนเราส่วนใหญ่ตกเป็นอาณานิคม และถูกปกครองโดยชาวตะวันตก เราก็ตกเป็นเบี้ยล่างตั้งแต่นั้นมา

สำหรับคนที่ทำงานในเวทีโลกจะเข้าใจดีว่าเสียงของเราชาวเอเชียดังได้แค่ไหน เมื่อเทียบกับฝรั่ง แม้เราจะมีคนเก่งมากมาย แต่มีชาวตะวันออกสักกี่คนที่ได้ขึ้นเป็นผู้นำในเวทีโลก เนื่องจากเวทีนานาชาติยังคงให้โอกาส และความสำคัญกับชาวตะวันตกเป็นใหญ่ในทุก ๆ วงการ แต่โลกของเราก็ยังมีความเป็นธรรม และทุกคนเห็นตรงกันว่า ความถูกต้องสำคัญกว่าอิทธิพลและเงินตรา แม้เพื่อน ๆ ของผมที่เป็นชาวตะวันตกก็ยังประณามพวกเดียวกัน และช่วยกันเผยแพร่ข้อมูลในหมู่พวกเขา แต่ชาวตะวันตกที่ดี ๆ มีความเคารพผู้คนท้องถิ่น ไม่กร่าง ไม่ใช้ความรุนแรง และรักเมืองไทย ก็ได้ช่วยเผยแพร่เรื่องราวดี ๆ ของไทยก็มีอยู่มากมาย ดังนั้น สิ่งที่เราต้องเร่งทำงานด้านความเท่าเทียม SDG10 โดยเฉพาะความเท่าเทียมของเชื้อชาติ เพื่อประสาน Local กับ Global ให้เคารพซึ่งกันและกันอย่างสันติ และเสมอภาค เพราะหลาย ๆ จังหวัดของไทยกำลังกลายเป็นเมืองระดับโลกไปแล้ว จึงอย่าให้เรื่องราวไม่ดีมากลบมิตรภาพที่ดีของชาวตะวันตกกับตะวันออกที่มีต่อกันมายาวนานเลย.