เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 26 พ.ย.ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) แถลงผลการประชุมศบค.ชุดใหญ่ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธาน ว่า ที่ประชุม ศบค.เห็นชอบขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในคราวที่ 15 เนื่องจากมีช่วงระยะเวลาคาบเกี่ยวกับเทศกาลปีใหม่คือระหว่างเดือน ธ.ค. 2564 กับเดือน ม.ค. 2565 จึงเห็นควรพิจารณาขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งที่ 15 เป็นระยะเวลา 2 เดือนตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.2564-31 ม.ค.65เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติหน้าทีและการดำเนินชีวิตของประชาชน

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ที่ประชุม ศบค.เห็นชอบการปรับระดับพื้นที่สถานการณ์ทั่วราชอาณาจักร ดังนี้ พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (แดงเข้ม) เดิม 6 จังหวัด ปรับเป็นไม่มี ส่วนพื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) เดิม 39 จังหวัด ปรับลดเป็น 23 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดขอนแก่น จันทบุรี ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตรัง ตราด ตาก นครราชสีมา นครศรีธรรมราช นราธิวาส ประจวบคีรีขันธ์ปราจีนบุรี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา พัทลุง ยะลา ระยอง สงขลา สตูล สระบุรี สระแก้ว และสุราษฎร์ธานี 

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวต่อว่า ส่วนพื้นที่ควบคุม (สีส้ม) คงเดิม 23 จังหวัด ประกอบด้วย ฉะเชิงเทรา ชัยนาทชัยภูมิ ชลบุรีนครนายก นครปฐม พิษณุโลก เพชรบุรี เพชรบูรณ์ แม่ฮ่องสอน ระนอง ราชบุรี ลพบุรี ลำปาง ลำพูน สมุทรปราการ สมุทรสงครามสมุทรสาคร สิงห์บุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง อุดรธานี และอุบลราชธานี ส่วนพื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) 5 จังหวัด ปรับเพิ่มเป็น 24 จังหวัด ประกอบด้วย กาฬสินธุ์ กำแพงเพชร นครพนม นครสวรรค์ น่าน บึงกาฬ บุรีรัมย์ พะเยา พิจิตร แพร่ มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร ร้อยเอ็ด เลย ศรีสะเกษ สกลนคร สุโขทัยสุรินทร์ หนองคายหนองบัวลำภู อุตรดิตถ์ อุทัยธานี และอำนาจเจริญ และพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว (สีฟ้า) เดิม 4 จังหวัด ปรับเพิ่มเป็น 7 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพฯ กระบี่ กาญจนบุรี นนทบุรี ปทุมธานี พังงาและภูเก็ตโดยพื้นที่นำร่องท่องเที่ยวให้ใช้มาตรการเช่นเดียวกับพื้นที่เฝ้าระวัง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.2564

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวอีกว่า สำหรับ จังหวัดที่กำหนดเป็นพื้นที่นำร่องท่องเที่ยวในแต่ละระยะ (สีฟ้า) ระยะที่ 1 วันที่ 1-30 พ.ย. 2564 เขียนกำหนดพื้นที่นำร่องด้านเศรษฐกิจเป็นเมืองหลักหรือจังหวัดที่มีสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติน้อยกว่า 100 ละ 15 ของรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งหมด จำนวน 15 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพฯ สมุทรปราการ (สนามบินสุวรรณภูมิ) กระบี่ (ทั้งจังหวัด) พังงา (ทั้งจังหวัด) ประจวบคีรีขันธ์ (ตำบลหัวหินและหนองแก) เพชรบุรี (เทศบาลเมืองชะอำ) ชลบุรี (พัทยา บางละมุง นาจอมเทียน บางเสร่ เกาะสีชัง และ อ.ศรีราชา) ระนอง (เกาะพยาม) เชียงใหม่ (อำเภอเมืองแม่ริม แม่แตง ดอยเต่า) เลย (เชียงคาน) บุรีรัมย์ (อำเภอเมือง) หนองคาย (อำเภอเมืองศรีเชียงใหม่ ท่าบ่อ สังคม ) อุดร (อำเภอเมืองทนายูง หนองหาน ประจักษ์ศิลปาคม กุมภวาปีและบ้านดุง) ระยอง (เกาะเสม็ด) และตราด (เกาะช้าง) 

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวอีกว่า ส่วนระยะที่ 2 วันที่ 1-31 ธ.ค.2564 เนื่องจากเป็นเมืองหลักหรือจังหวัดที่มีสัดส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ของรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งหมด รวมถึงมีสินค้าการท่องเที่ยวด้านศิลปะวัฒนธรรม และเป็นจังหวัดที่มีพรมแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน รวม 27 จังหวัด ประกอบด้วย กาญจนบุรี (ทั้งจังหวัด) นนทบุรี (ทั้งจังหวัด) ปทุมธานี (ทั้งจังหวัด)เชียงราย (อำเภอเมือง แม่จัน แม่สาย เทิง พาน เวียงป่าเป้า แม่สรวย แม่ฟ้าหลวง เชียงแสน เวียงแก่น และเชียงของ) เชียงใหม่ (จอมทอง) อยุธยา ขอนแก่น (อำเภอเมือง เขาสวนกวาง อุบลรัตน์ ภูเวียง เวียงเก่าพลเปือยน้อย) นครราชสีมา (อำเภอเมือง ปากช่องวังน้ำเขียว สีคิ้ว พิมาย เฉลิมพระเกียรติ และโชคชัย) สุรินทร์ (อำเภอเมือง ท่าตูม) จันทบุรี (อำเภอเมือง และท่าใหม่) ตราด (เกาะกูด) สงขลา (อำเภอเมือง สะเดาและหาดใหญ่)

และระยะที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2565 จำนวน 12 จังหวัด ประกอบด้วย สระแก้ว (อำเภอเมือง และอรัญประเทศ)  มุกดาหาร (อำเภอเมือง) บึงกาฬ นครพนม อุบลราชธานี (อำเภอเมือง และสิรินธร) ตราด (อำเภอคลองใหญ่ ) สุรินทร์ จันทบุรี ตาก น่าน กาญจนบุรี ราชบุรี และสตูล.