เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ซอยสีคาม นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี เดินทางมายื่นฟ้องนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และพวกรวม 30 คน กรณีส่งมอบโครงการดาวเทียมไทยคมไม่เป็นไปตามสัญญาและมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) สร้างความเสียหายต่อประเทศชาติและเอื้อประโยชน์ให้เอกชน

นพ.วรงค์ กล่าวว่า เมื่อฝ่ายค้านไม่ทำหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตและประพฤติมิชอบ มัวแต่ขอแก้ไขมาตรา 112 และสนับสนุนขบวนการล้มล้างการปกครอง เราจึงต้องทำหน้าที่นี้แทนฝ่ายค้าน ที่ผ่านมาเคยเตือนนายชัยวุฒิ และผู้เกี่ยวข้องต่อกรณี การโอนกรรมสิทธิ การส่งมอบและรับมอบทรัพย์สินโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศซึ่งสัญญาได้ครบกำหนดตั้งแต่วันที่ 10 ก.ย. 64 เตือนแล้วเตือนอีกหลายรอบ แม้แต่ไปพบเพื่อเสนอแนะ จนถึงขณะนี้ก็ไม่ได้รับการเอาใจใส่ เพื่อปกป้องประโยชน์ประเทศชาติ

กรณีดังกล่าวถือว่า นายชัยวุฒิ และคณะรวม 30 ราย ร่วมกันกระทำความผิด ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 และกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 โดยมีพฤติการณ์การกระทำความผิดหลายบท หลายกรรม ต่างวาระกัน ที่สำคัญไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามสัญญาสัมปทาน ในการส่งมอบทรัพย์สินที่เป็นของรัฐคืน แต่ได้ร่วมกันแบ่งหน้าที่กันทำเป็นขบวนการ ฉ้อฉลไม่ให้มีการส่งมอบทรัพย์สิน และฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ เพื่อดำเนินบริหารจัดการดาวเทียมอีกทั้งไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 ม.ค. 62 ที่มีมติไม่ควรให้ต่ออายุหรือขยายเวลาสัญญาดำเนินกิจการคาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ

นพ.วรงค์ กล่าวอีกว่า ในการฟ้องคดี แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐ 5 คน ได้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีเอส ปลัดกระทรวง และผู้เกี่ยวข้อง และกลุ่มเอกชน นิติบุคคล 25 คน อาทิ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน), บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) โดยศาลได้นัดฟังคำสั่งชั้นตรวจฟ้อง 20 ธ.ค.นี้

นพ.วรงค์ กล่าวเพิ่มว่า วันนี้นำเอกสารจำนวนมากมาประกอบการยื่นฟ้อง เรามั่นใจในข้อมูลหลักฐานและสิ่งที่เกิดขึ้น รวมถึงเรามีข้อมูลเชิงลึกซึ่งตนเตรียมไว้ในชั้นสืบพยาน แต่นำไปสู่ความเสียหายของประเทศ

อย่างไรก็ตามสำหรับโครงการสัมปทานดาวเทียมไทยคมดวง 6 และ 4 ครบอายุสัมปทาน 30 ปี เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 64 หลังจากนั้นทุกอย่างจะต้องถูกโอนมาเป็นของรัฐ แต่ขณะนี้ยังปล่อยให้บริษัทไทยคมเข้ามามีส่วนในการบริหารจัดการอยู่ ซึ่งผลประโยชน์ของดาวเทียมมีมูลค่ามหาศาล ส่วนรายละเอียดข้อมูลเราเข้าไม่ถึงจึงมาร้องต่อศาลเพื่อดูแลผลประโยชน์ของประเทศ.