เมื่อวันที่ 25 มี.ค. นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ส.ส.หนองคาย และคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าตามที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้แนะนำและเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนกันอย่างหนักจากปัญหาทางเศรษฐกิจมาตลอด และในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ ได้ออก 10 มาตรการช่วยเหลือประชาชนออกมา แต่เป็นมาตรการที่ต้องเรียกว่า “น้อยไป และไม่ฉลาด” โดยจะช่วยเหลือประชาชนได้น้อยมาก หรือแทบจะไม่ได้ช่วยเหลือเลย

ทั้งนี้ 10 มาตรการทำเหมือนกับว่าจะสักแต่ว่าทำ หรือถือว่าได้ช่วยแล้วเท่านั้น แต่จะช่วยคนได้น้อยมาก โดยวิเคราะห์ได้ดังนี้

  • เรื่องการช่วยเหลือเรื่องก๊าซหุงต้ม มียอดเงินช่วยเหลือที่น้อยมาก และยังต้องผ่านบัตรคนจนอีก ทั้งสำหรับประชาชนและสำหรับผู้ค้าหาบเร่แผงลอย และคนที่ไม่ได้มีบัตรคนจน จะไม่ได้รับการช่วยเหลือเลย
  • การช่วยเหลือน้ำมันเบนซินสำหรับมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ขึ้นทะเบียนมีเพียง 157,000 รายเท่านั้น และช่วยเพียงเดือนละ 250 บาท เฉลี่ยแล้วเพียงวันละ 8 บาท ซึ่งน้อยมาก
  • การคงราคาก๊าซ NGV มีผลน้อยมาก เพราะผู้ใช้ก๊าซ NGV มีจำนวนไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นรถบรรทุกบางส่วน และรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ NGV เท่านั้น รวมถึงแท็กซี่มิเตอร์ในโครงการลมหายใจเดียวกัน ที่ได้ลดราคาก็มีจำนวนคนน้อย
  • การคงราคาดีเซลต่ำกว่า 30 บาท จนถึงสิ้นเดือน เม.ย. ไม่น่าจะเป็นมาตรการที่ออกมาช่วยเหลือ แต่เป็นการเตือนมากกว่าว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่ช่วยเหลือสนับสนุนราคาต่อแล้วหลังเดือน เม.ย.
  • การบอกว่าจะดูแลราคาก๊าซหุงต้มไม่ให้ขึ้นราคาสูงเกิน ไม่น่าจะเรียกว่าเป็นมาตรการ แต่ต้องเป็นหน้าที่
  • ส่วนเรื่องเงินสมทบก็เป็นเรื่องที่เล็กน้อยมาก
    ดังนั้นจะเห็นได้ว่ามาตรการที่ออกมาแทบจะไม่ได้ข่วยประชาชนเลย แถมมีเงื่อนไขเต็มไปหมด ตอกย้ำผลโพลที่ประชาชนมากกว่า 3 ใน 4 ไม่เชื่อมั่นรัฐบาลแล้ว ยิ่งตอกย้ำสิ่งที่พูดเองว่าทำอะไรคนก็หาว่าโง่ โดยมาตรการที่ออกมานี้ดูอย่างไรก็ไม่ฉลาด ในภาวะที่ประชาชนต้องมาเจอกับ ภาวะน้ำมันแพง ก๊าซแพง ไฟฟ้าแพง ข้าวของแพงและเงินเฟ้อสูง ดังนั้นพรรคเพื่อไทย จึงขอเสนอ 10 มาตรการ โดยที่บางเรื่องได้เคยเสนอไว้แล้ว และนำมารวบรวมให้พิจารณากันดังนี้
  1. การลดราคาน้ำมัน ทำได้โดยเร่งพิจารณาลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงอีก 2.99 บาท จะทำให้ดีเซลลดลงได้ 3.20 บาท ให้ลดราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นไทย เท่าราคาหน้าโรงกลั่นสิงคโปร์ ในราคาไม่บวกค่าขนส่งและค่าใช้จ่ายอื่น อีกทั้งควบคุมค่าการตลาด
  2. การลดราคาก๊าซหุงต้ม ทำได้โดยก๊าซหุงต้มที่ไทยผลิตได้เองจากโรงแยกก๊าซและโรงกลั่นน้ำมัน ควรรักษาระดับราคาเดิมไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน และพิจารณาปรับราคาเฉพาะก๊าซที่ใช้เติมรถยนต์และก๊าซที่ใช้ในอุตสาหกรรม เก็บเงินอุดหนุนจากก๊าซที่ใช้ในธุรกิจปิโตรเคมี เพื่อนำเงินนี้มาพยุงราคาก๊าซช่วยเหลือประชาชนที่ต้องใช้ก๊าซหุงต้ม เหมือนที่ทำในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
  3. การลดราคาไฟฟ้า ทำได้โดยรัฐต้องเจรจาขอลด ‘ค่าความพร้อม’ สำหรับโรงไฟฟ้าที่สร้างเสร็จแต่ยังไม่ผลิตไฟฟ้า จะทำให้ค่าไฟลดลง รวมถึงลดค่าส่วนต่างของไฟฟ้าที่ซื้อจากโรงไฟฟ้าของเอกชนในราคาถูก แต่ถูกการไฟฟ้าฝ่ายผลิตนำมาขายให้ประชาชนในราคาแพง จนการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคมีกำไรสะสม 3 แสนล้านบาท การไฟฟ้านครหลวงมีกำไรสะสม 1 แสนล้านบาท ซึ่งควรนำมาช่วยลดรายจ่ายให้ประชาชน
  4. การให้รถเมล์ฟรี รถไฟฟรี โดยจำกัดจำนวนประเภทที่ให้บริการฟรี เหมือนในสมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชน
  5. การลดค่าโดยสารของระบบขนส่งสาธารณะ ทั้งรถไฟลอยฟ้า และรถไฟใต้ดิน
  6. การให้ประชาชนใช้น้ำประปาฟรี ไฟฟ้าฟรี ในปริมาณที่จำกัด ถ้าใช้เกินจะไม่ให้ใช้ฟรี เหมือนสมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชน คือจะใช้ฟรีต้องใช้อย่างประหยัด
  7. นำเงินกองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจำนวน 20,087.42 ล้านบาท ที่ พล.อ.ประยุทธ์ โอนไปเป็นรายได้มาคืน ซึ่งจะทำให้สนับสนุนราคาน้ำมันและราคาก๊าซต่อไปได้
  8. เร่งเจรจาแหล่งก๊าซเพื่อให้ได้ก๊าซราคาถูกมาสนับสนุนราคาก๊าซหุงต้มและช่วยทำให้ราคาไฟฟ้าถูกลง
  9. จัดงบประมาณใหม่ โดยตัดงบการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออก โดยเฉพาะ งบการทหาร และการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ไม่ซื้อเครื่องบินรบ F-35 ลดเงินเดือน ส.ว. และผู้ติดตาม ฯลฯ และนำเงินมาช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชน และเพิ่มการสร้างงาน
  10. เร่งพัฒนาและส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า และระบบขนส่งมวลชนที่ใช้ไฟฟ้า รวมถึงพาหนะทุกชนิดที่ใช้พลังงานไฟฟ้า และเร่งส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานหมุนเวียน เพื่อให้เข้ากับทิศทางของโลกในอนาคต
    ทั้ง 10 มาตรการนี้ รัฐบาลสามารถทำได้ทันที และ รัฐจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นไม่มากนัก แต่จะช่วยประชาชนได้อย่างมากและช่วยได้อย่างทั่วถึง ในภาวะที่คนยากลำบากกันเช่นนี้ จึงอยากให้ประชาชนได้เปรียบเทียบ 10 มาตรการของ พล.อ.ประยุทธ์ กับ 10 มาตรการของพรรคเพื่อไทย ว่ามาตรการของใครจะทำประโยชน์และช่วยเหลือประชาชนได้มากกว่ากัน