“จะเป็นอย่างไรถ้าคุณตื่นมาเเล้วพบว่า ไม่ว่าจะตื่นมากี่ครั้งเหตุการณ์ทุกอย่างก็เกิดขึ้นเหมือนเดิม วนซ้ำไปมาจนราวกับจะไม่มีวันสิ้นสุดลง แล้วเราจะต้องทำอย่างไร เพื่อจะได้หลุดพ้นจาก Loop นี้ได้เสียที?”

12 Minutes คือผลงานแรกของ Luis Antonio ชายผู้ที่ฝากฝีมือด้านงานศิลป์ไว้กับหลายๆเกม โดยเจ้าตัวได้รับเเรงบันดาลใจจาก ผู้กำกับขั้นปรมาจารย์ของหนังแนวจิตวิทยาระทึกขวัญ อย่าง Alfred Hitchcock (เจ้าของผลงานชั้นครูอย่าง Psycho จากปี 1960), Stanley Kubrick (ผู้กำกับหนังเรื่อง Lolita จากปี 1962) หรือเเม้เเต่ David Fincher (ผู้กำกับหนังเรื่อง Gone Girl จากปี 2014) เอามารวมกันกลายเป็นเกมสืบสวนสอบสวนแบบ Point and Click และ Puzzle ที่มีคอนเซปเป็นการที่ผูกเหตุการณ์ทั้งเกมไว้กับ ลูปเวลา 12 นาที ตามชื่อเกม 12 Minutes

STORY

เรื่องราวจะถูกนำเสนอผ่านตัว “สามี (Husband)” ที่มีชีวิตคนเมืองทั่วไปที่ตื่นเช้าไปทำงาน เเละกลับบ้านมาถึงห้องที่มี “ภรรยา (Wife)” ยังคงรอเขากลับมาอย่างดังเช่นปกติ เเต่ความปกตินั้นก็จบลงเมื่อมีบุคคลที่อ้างตัวว่าเป็น “ตำรวจ” บุกเข้ามาจับตัวภรรยาของเราอย่างอุกอาจ  ก่อนลงเอยด้วยการที่ตัวเราถูกทำร้ายอย่างรุนแรง

เมื่อฟื้นสติขึ้นมาตัวสามีกลับพบว่าเหตุการณ์ทุกอย่างกลับรีสตาร์ทมาเป็นเหมือนเดิมทุกครั้ง และจะจบลงเมื่อเค้าเกิดอุบัติเหตุอะไรซักอย่าง หรือ เดินออกไปนอกห้อง คล้ายกับตนติดอยู่ในลูปเวลาที่ไม่มีวันสิ้นสุดลง สามีจึงต้องหาทางออกจากอยู่ในลูปนี้ให้ได้

ความน่าสนใจในเนื้อเรื่องของ 12 Minutes คือการที่เเต่ละเนื้อเรื่องในเเละเหตุการณ์นั้นมีความน่าสนใจเเละมีปมไว้ให้เราได้เรียนรู้เเละปะติดปะต่อเรื่องราวด้วยตัวเอง เเต่บางทีในเรื่องราวที่เรารู้สึกว่าเรารู้ดีเเล้วมันต้องเป็นอย่างนี้เเน่ๆ อาจจะกลับกลายเป็น “จุดหักมุม”
หรือ twist ซึ่งการจำกัดเวลาของลูปเพียง 12 นาทีนั้น มันทำให้จุดหักมุมค่อย ๆ เผยออกมาได้ทีละส่วน นอกจากนี้จุดหนักมุมยังทำหน้าที่ปลดล็อกบทสนทนาและ action ใหม่ ๆ ซึ่งก็ทำให้เรารับรู้ข้อมูลเนื้อเรื่องใหม่ๆด้วย ปมๆปัญหาใหม่ๆทั้งเล็กๆน้อยๆเเละปมใหญ่ๆที่ส่งผลต่อเนื้อเรื่องอีกด้วย

ตลอด 3-4 ชั่วโมงตั้งแต่ต้นจนจบเกมเราจะรู้สึกได้ชัดเจนถึงพัฒนาการของเนื้อเรื่องที่เชื่อมเอาตัวผู้เล่นและตัวสามีเข้าไว้ด้วยกัน เรารู้อะไร ตัวสามีในเกมจะรับรู้ได้เช่นกัน

ในส่วนของ twist นั้นก็ถือว่ามีหลายๆจุดที่น่าสนใจเเละทำให้รา“เฮ้ย”ได้หลายครั้งเหมือนกัน เเม้หลายคนที่มักจะบอกว่าตัวเกมเฉลย“จุดจบของเกม”เเบบโต้งๆไปหน่อยเเต่สำหรับผมเเล้วมันก็อยู่ในระดับที่ โอเค ไม่ได้เเย่ไปซะทีเดียว เเละในภาพรวมของเกมมันก็ทำออกมาได้ดีมากๆเเล้ว

Presentation

การนำเสนอจากมุมมองเเบบ Bird-Eye-View ผนวกกับการขังให้ผู้เล่นให้อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเเละจำกัดเวลาด้วยเวลา 12 นาที ทำให้ผู้เล่นรู้สึกกดดัน เเละ ลุ้นระทึกไปพร้อมๆกัน ว่าจะทำสำเร็จไหม (บางทีก็อาจทำให้คุณหัวร้อนได้เหมือนกัน)

ในส่วนของบทสนทนานั้นเเม้จะค่อนข้างจะธรรมดาเเละเรียบง่ายเเต่ก็ทำให้ผูเล่นอินอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะ คนมีคู่ หลังเล่นเกมนี้อาจจะเข้าใจการใช้ชีวิตคู่มากขึ้น เเถมการที่ได้นักเเสดงระดับเเถวหน้าของวงการ Hollywood อย่าง James McAvoy (ผู้รับบท Professor X จาก X-Men: First Class) , Daisy Ridley (ผู้รับบท Rey จาก Star Wars: The Last Jedi) และ Willem Dafoe (ผู้รับบท Green Goblin จาก Spider-Man ฉบับ Sam Raimi) มาพากย์เสียงตัวละครนั้น เสียงของพวกเขานั้นได้สร้างชีวิตชีวาให้กับตัวละครดังกล่าวได้เป็นอย่างดี และยังทำให้เราสามารถเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร ที่ตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในบริบทหรือการกระทำที่ต่างกันได้อย่างชัดเจน เเต่บทบางอย่างก็ยังดูมีความไม่หลากหลาย ความไม่สมูทอยู่ ด้วยความที่ตัวเกมไม่ได้มีความอิสระขนาดนั้นเลยทำให้บางทีเราอาจเห็นความเป็นไบโพล่าร์ของตัวละครอยู่บ้าง เเต่สำหรับเหล่าพ่อบ้านก็คงจะไม่เเปลกใจเท่าไรนัก 5555+ 

นอกจากนั้นดนตรีประกอบที่เล่นคลออยู่ตลอดทั้งเกม ก็ยังทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งในช่วงลูปเเห่งความสุขดนตรีประกอบก็สามารถสร้างบรรยากาศ ที่ทำให้ทุกอย่างอบอุ่นหัวใจได้จนถึงขีดสุด ไปจนถึงช่วงเวลาที่เนื้อเรื่องบีบคั้นหัวใจที่สุด ดนตรีประกอบในตอนนั้นก็ทำให้เราอิน และเจ็บปวดไปกับเรื่องราวอย่างถอนตัวไม่ขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว

12 Minutes คืออีก 1 ตัวอย่างที่เเสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ “เกม” ทำได้มากว่า”ภาพยนตร์”เพราะเกมนี้ให้ผู้เล่นได้เลือกสัมผัสประสบการณ์ด้วยตัวเอง กำหนดจังหวะการเล่น เเละฉากจบด้วยตัวเอง(มี 6 เเบบ) ทำให้ผู้เล่นได้รับประสบการณ์นั้นได้อย่างเต็มที่ มากกว่าการที่ดูหรือการเล่าให้เพียงอย่างเดียว โดยอีก 1 เกมที่สามารถทำได้เเบบนี้คือ Detroit : Become Human

สำหรับแอดมินแนะนำอย่างยิ่งให้พวกคุณควรเล่นเกมนี้ด้วยตัวเอง เพราะความสนุกของเกมนี้มันอยู่ตรงนั้นจริง ๆ

GAMEPLAY

12 Minutes เป็นเกมเเบบ Point and Click หรือใช้เพียงเมาส์ในการคลิกและลากเท่านั้น (บน Xbox จะใช้คันโยกบังคับ cursor คล้ายกับบน PC เเต่เล่นยากกว่า) ผสมผสานเข้ากับ Puzzle ที่เราต้องหยิบจับสิ่งของต่าง ๆ โดยอาศัย Timing ที่พอดีกับเหตุการณ์ที่เรารู้ว่ามันจะเกิดขึ้นในลูป 12 นาที การคลิกเท่ากับการเดินไปยังจุดๆนั้นที่ต้องการจะไป คลิกที่วัตถุใกล้ ๆ อีกทีคือการหยิบเข้า inventory และลากของนั้นไปยังจุดต่าง ๆ เพื่อใช้ให้เกิด Action ต่าง ๆ แต่ก็ไม่ได้เปิดอิสระมากขนาดที่ว่าใช้อะไรกับอะไรก็ได้ นี่อาจจะทำให้หลายคนงง เเละไปต่อไม่ได้ เเต่ตัวเกมก็ช่วยใบ้เราอยู้เหมือนกัน เช่นถ้าสมมติเรา Action อะไรที่ทำแล้วไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ตัวละครสามีก็จะยืนส่ายหน้าและบ่นว่า ‘No’ เสมือนกับใบ้ให้เราลองหยิบจับอย่างอื่นต่อเพื่อที่จะให้เราผ่านลูปนี้ไปได้ง่ายขึ้น

ในด้าน Puzzle นั้นก็ไม่ได้ยากอะไรนักเเต่ด้วยความที่ตัวเกมนั้นถูกจำกัดด้วยเวลา 12 นาที ทำให้เราต้องใช้ทุกอย่างเพื่อเเก้ไขให้เราผ่านลูปนั้นไปได้ นั้นอาจให้เกิดความผิดพลาดได้ เเต่ 12 Minutes ก็ไม่ได้ทำให้เราต้องรอผลลัพธ์ที่ผิดพลาดเพียงอย่างเดียว คุณสามารถเริ่มใหม่ได้ทันทีโดยไม่ต้องรอหากเราทำอะไรพลาดไปโดยการเปิดประตูออกไปเลยเเม้ว่าหลายคนอาจจะบอกว่าว่าเเบบนี้มันง่ายเกินไปหรือเปล่า ส่วนตัวแอดมินคิดว่ามันคือการผ่อนคลายให้กับผู้เล่นให้มีโอกาสได้ทบทวนว่าเราทำอะไรผิดพลาดไปในลูปนั้น

เเต่ด้วยความที่เนื้อเรื่องนั้นดำเนินเป็นเส้นตรง เฉลยปมอย่างเป็นลำดับชั้น นั้นทำให้บางคนที่สามารถไขปริศนาได้ก่อนเเล้ว เเต่คุณก่อนต้องไปคุยกับตัวละครอื่นก่อนนั้นอาจจะทำให้หลายคนหงุดหงิดในรายละเอียดเล็กๆเเบบนี้

PERFORMANCE

ด้วยระดับกราฟิกที่ธรรมดาจึงทำให้ปัญหาเรื่องการเเสดงผล PC สเปคกลางๆจนไปถึงระดับต่ำก็สามารถเล่น 12 Minutes ได้  (Spec ขั้นต่ำเริ่มต้นที่ Intel Core i5-2300 | AMD Phenom II X4 965 และการ์ดจอ Nvidia GeForce GTS 450, 1 GB | AMD Radeon HD 5770, 1 GB เท่านั้น) 

เเต่สิ่งที่เป็นปัญหาหลักๆเลยคือการเคลื่อนไหวของตัวละครที่บางทีก็เก้ ๆ กัง ๆ ดูเเล้วอย่างกับ The Sims รวมไปถึงบัคบางอย่างที่ทำให้ไม่สามารถดำเนินเกมต่อไปได้ เเต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก

สำหรับในส่วนของบทสนทนาที่ซ้ำๆในลูปนั้นๆเเต่ไม่สามารถกดเร่งได้ แม้ว่าเราจะได้ยินมันมาหลายต่อหลายลูปแล้วก็ตาม ส่วนตัวคิดว่าเป็นความตั้งใจของผู้พัฒนาที่อยากให้ผู้เล่นได้เข้าใจตัวละครนั้นว่าทำไมถึงพูดเเบบนี้ในบริบทที่ต่างกัน ซึ่งส่วนตัวไม่ถือว่าเป็นข้อเสียเเต่ถ้ามองในมุมของผู้เล่นก็มองว่าอาจทำให้เกิดความน่าเบื่อได้เหมือนกัน

VERDICT

สำหรับ 12 Minutes นี่คือส่วนผสมระหว่างเนื้อเรื่องอันเข้มข้น เเละ Puzzle ที่มี Point ที่น่าสนใจอย่างการจำกัดเวลาให้ผู้เล่นทำทุกอย่างภายใน 12 นาทีได้อย่างลงตัวเเถมยังมีบทลงโทษที่กดดันให้ผู้เล่นนั้นไม่อยากจะผิดพลาดซ้ำ นับเป็นเสมือนการชุบชีวิตให้เกมแนวนี้อีกครั้ง ทำให้ใครที่ไม่เคยได้สัมผัสเกมแนวนี้ สามารถข้ามเกมอื่น ๆ มาพบกับเกมนี้ได้เลย เเม้จะมีข้อเสียอยู่บ้าง แต่ด้วย จังหวะในการถ่ายทอดเนื้อเรื่องที่ค่อย ๆ เผยความลับทำให้เราอยากรู้มากขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละลูปก็พอที่จะทำให้เรามองข้ามข้อเสียต่าง ๆ ไปได้

ซึ่งเเอดมินเเนะนำว่าให้พวกคุณต้อง “ลองเล่นด้วยตัวเอง” เท่านั้นเพราะนี่คือเกมที่ตอกย้ำว่า เกมคือสื่อบันเทิงที่ผู้คนสามารถสัมผัสเเละเข้าใจประสบการณ์เเละเรื่องราวที่ผู้เล่าเรื่อง ต้องการจะสื่อได้มากกว่าภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดี 

——————————————–
12 Minutes BY INSIDE THE GAME
คอลลัมน์โดย Wacther
ติดตามรีวิวเกมส์ เเละ อื่นๆที่น่าสนใจได้ที่ : INSIDE THE GAME