สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเคียฟ ประเทศยูเครน เมื่อวันที่ 2 มี.ค. ว่า กระทรวงมหาดไทยของยูเครนรายงานผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 5 ราย จากปฏิบัติการโจมตีทางทหารของกองทัพรัสเซีย ซึ่งยิงจรวดทำลายหอส่งสัญญาณโทรทัศน์ ในกรุงเคียฟ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง หลังกระทรวงกลาโหม ในกรุงมอสโก ประกาศเตือนให้ประชาชนในกรุงเคียฟอพยพ เนื่องจากกองทัพรัสเซียเตรียมโจมตี “เป้าหมายทางยุทธศาสตร์”


ขณะเดียวกัน ยังมีทหารยูเครนอีกอย่างน้อย 4 นาย เสียชีวิตจากปฏิบัติการโจมตีทางทหารของรัสเซีย ที่เมืองซิโตเมียร์ ห่างจากกรุงเคียฟไปทางตะวันตกประมาณ 120 กิโลเมตร

กลุ่มควันหนาทึบลอยออกจากบริเวณหอส่งสัญญาณโทรทัศน์ ในกรุงเคียฟ


ด้านแหล่งข่าวด้านข่าวกรองของสหรัฐให้ข้อมูลว่า คาราวานของกองทัพรัสเซียไม่ได้เคลื่อนไหวเพิ่มเติม ในรอบ 24 ชั่วโมงล่าสุด คาดว่าเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายประการ ซึ่งอาจรวมถึงการประเมินสถานการณ์ และการรอคำสั่งจากศูนย์บัญชาการ ในกรุงมอสโก

ทหารยูเครนเข้าไปสำรวจความเสียหายของอาคาร ซึ่งเกิดเพลิงไหม้ หลังถูกโจมตีด้วยจรวด


ในอีกด้านหนึ่ง นายดมิทรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน แถลงเกี่ยวกับปฏิบัติการทางทหารของกองทัพรัสเซียในยูเครน ซึ่งเปิดฉากเมื่อวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา ปฏิเสธมีการทำลายระบบโครงสร้างพื้นฐาน และสาธารณูปโภค ตลอดจนทรัพย์สินของพลเรือนยูเครน โดยกระแสข่าวทั้งหมดที่ออกมา เป็นเรื่องของ “กองกำลังชาตินิยม” ซึ่งใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์


เกี่ยวกับการที่เอกอัครราชทูตยูเครนประจำสหรัฐ กล่าวหากองทัพรัสเซียใช้ระเบิดสุญญากาศ เปสคอฟกล่าวว่า “เป็นเรื่องโกหก” และประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน กำลังหารืออย่างละเอียดกับกองทัพ เพื่อประเมินความสูญเสียของรัสเซียจากปฏิบัติการครั้งนี้


ทั้งนี้ ผู้นำรัสเซียยังคงถือว่า ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี “คือผู้นำที่ชอบธรรม” ของยูเครน อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ ปูตินยังไม่มีแผนพบหารือโดยตรงกับเซเลนสกี ส่วนการเจรจาระหว่างทั้งสองประเทศนั้น “จะยังคงเป็นการพูดคุยกันโดยตรงเท่านั้น”


ส่วนนายเซอร์เก ลาฟรอฟ รมว.การต่างประเทศรัสเซีย กล่าวว่า การให้ประเทศซึ่งเป็นอดีตสมาชิกของสหภาพโซเวียตเป็นที่ตั้งของฐานทัพตะวันตก เป็นเรื่องที่รัฐบาลมอสโกไม่สามารถยอมรับได้

เช่นเดียวกัน รัสเซียไม่เคยเห็นด้วย กับการที่ประเทศในยุโรปบางแห่งเป็นสถานที่เก็บหัวรบนิวเคลียร์ของสหรัฐ และ “ในอนาคต” รัฐบาลวอชิงตันต้องนำอาวุธเหล่านั้นกลับไป.

เครดิตภาพ : REUTERS