เชื่อว่าหลายๆคนคงจะผ่านการเล่นเกมแนวสงครามมามากมายซึ่งส่วนใหญ่เราก็มักจะได้รับบทเป็น ทหารแนวหน้า บุกแหลกไล่แหกแนวหน้าศัตรู แต่ถ้ามองกลับในอีกมุมมองนึง เพราะในสงครามไม่ใช่ทุกคนที่เป็นทหาร ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถที่จับปืนสู้ แต่ ก็ได้รับผลกระทบและความสูญเสียเสีย จากสงครามเช่นกัน แล้ว 11 Bit Studio จะสื่อคอนเซปต์นี้ได้ดีแค่ไหน ไปรับชมกันเลยครับ

STORY

จริงๆเกมนี้มีเนื้อเรื่อง ที่ไม่ตายตัว นำเสนอใน มุมมองของพลเรือนผู้บริสุทธิ์ที่ติดอยู่ในสงครามกลางเมืองที่ถูกปิดล้อม ซึ่งในภาวะสงครามทรัพยากรก็ย่อมมีการขาดแคลนเกิดขึ้น จุดหมายสำคัญคือการใช้ชีวิตเพื่อให้รอดให้ผ่านไปในแต่ละวันและสร้างถิ่นฐานที่หลบภัยของเราให้มั่นคง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพียงพื้นหลังให้ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครดำเนินต่อไปจนถึงจุดจบ ซึ่งนอกจากนี้ยัง This War Of Mine ยังมี DLC ที่เพิ่มความเข้มข้นด้านเนื้อเรื่องให้กับผู้เล่นถึง 3 ตัวได้แก่

  • DLC ตัวแรกมีชื่อว่า Father’s Promise เป็นเรื่องราวของพ่อลูกคู่หนึ่งที่ต้องเอาตัวรอดจากสงคราม อยู่มาวันหนึ่งลูกกลับหายไปอย่างลึกลับ ทำให้พ่อต้องตามหาลูก ท่ามกลางเมืองที่สุดแสนอันตราย สุดท้ายแล้วพ่อจะตามหาลูกของเขาได้หรือไม่ ต้องไปติดตามชมกันครับ
  • DLC ตัวที่สอง The Last Broadcast คราวนี้เรารับบทเป็นนักจัดรายการวิทยุในท่ามกลางสงคราม ทุกเสียงที่เราประกาศออกไปนั้นมีความหมาย แสดงความจริงในเมืองแห่งความสิ้นหวังนี้
  • DLC ตัวที่สาม Fading Embers เรื่องราวเกี่ยวกับหญิงสาวอาศัยอยู่ในพื้นที่สงครามและต้องมีหน้าที่ภาระที่เกินตัว ที่ตั้งคำถามสำคัญว่า ระหว่างการอยู่รอดของมนุษย์ชาติกับการอยู่รอดของชายคนหนึ่ง อะไรสำคัญกว่ากัน

ต้องบอกเลยว่า หากไม่ใช่ DLC เนื้องเรื่องของเกมนี้ก็ไม่มีอะไรมากนัก อย่างที่บอกมันเป็นเพียง พื้นหลังให้ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครดำเนินต่อไปได้ ซึ่งก็จะมี Event เล็กๆน้อยๆ ทำให้เนื้อเรื่องมันมีอะไรขึ้นมาบ้าง (ซึ่งจะกล่าวถึงในหมวดของ Gameplay) แต่สำหรับ DLC นั้นถือว่า เนื้อเรื่องดีมากทั้ง 3 DLC มีการปูเนื้อเรื่องที่ดีมาก วางบทและ จังหวะการดำเนินเรื่องได้ดีเยี่ยม มีจุดหักมุมที่บอกเลยว่าพีค (แม้มันจะเป็นเส้นตรองมากก็ตาม) และ สุดท้าย มีฉากจบที่ IMPACT มากๆ ถ้าบางคนอินมากอาจจะมีน้ำตาไหลเลยทีเดียว

GAMEPLAY

This War Of Mine เป็นเกมแนว Survival ที่มี Action หน่อยๆ เริ่มมาเราจะสามารถเลือกตัวละครได้สูงสุด 3 ตัว ซึ่งแต่ตัวละครจะมีความสามารถ จุดแข็งจุดอ่อนต่างกัน บางคนฉลาดแต่อ่อนแอ หรือบางคนก็จะมี Item พิเศษที่สามารถได้มาทันทีตอนเริ่มเกมโดยไม่ต้องไปหา ส่วนการดำเนินเกมจะมี Pharse ในการเล่นอยู่ 2 ช่วงได้แก่

Pharse แรก คือช่วงกลางวันเป็นเวลาที่ เราจะอยู่แต่ในบ้านไม่สามารถออกไปหาของนอกบริเวณบ้านได้ จะเปิดโอกาสในเราได้พูดคุยกับตัวละครอื่น พักผ่อน อัพเกรดบ้าน เตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนที่จะออกไปหาของในตอนกลางคืน บางทีก็อาจจะมี Event พิเศษอย่าง โจนเข้ามาปล้น หรือมีผู้รอดชีวิตอื่น ๆ อย่างเด็กมาขออาหารกับเรา มีคนขอให้เราไปช่วย หรืออาจจะมีคนอื่นมาขอเข้าร่วมชุมชนของเราก็ได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจจะส่งผลกับเกมเพลย์ในอนาคตด้วย

Pharse สอง คือช่วงเวลากลางคืน เป็นช่วงที่เราจะสามารถส่งตัวละครของเรา 1 คน ออกหาทรัพยากรในสถานที่ต่างๆ (จะไปหรือไม่ไปก็ได้ เเต่ถ้าไม่ส่งก็เท่ากับไม่ได้ของด้วย) ซึ่งก็จะเจอผู้คนรวมถึงสิ่งเเวดล้อมที่ต่างกัน ทำให้การออกสำรวจเราจะไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าจะเจอกับอะไร บางทีอาจจะไปเจอกับกลุ่มทหารติดอาวุธ เจอผู้บริสุทธิ์คนอื่น ๆ เจอเด็กคนแก่ หรืออาจจะเจอโจรที่จะเข้ามาทำร้ายเราก็ได้ ทำให้แต่ละครั้งเราต้องวางแผนจัดการตัวเองให้ดี ๆ ว่าเราต้องการอะไรเป็นหลักเพราะตัวละครของสามารถขนของได้จำกัด ของในสถานที่นั้นๆมีวันหมดด้วย แถมยังจำกัดด้วยเวลาเพราะเราต้องกลับบ้านก่อนเวลารุ่งสาง ซึ่งมันเสี่ยงที่จะทำให้ตัวละครเราตายได้ และกิมมิคที่สำคัญโปรดจำเอาไว้ให้ขึ้นใจคือ หากตัวละครเราตายเท่ากับการตายไปจริง ๆ ไม่สามารถเกิดใหม่ ชุบชีวิต นั่นหมายความเราจะเสียตัวละครนั้นไปเลย นอกจากนี้ยังยังจะส่งผลไปถึงตัวละครอื่นๆด้วย นั่นจึงทำให้การเอาชีวิตรอดในเกมนี้ให้ความรู้สึกที่ตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก

อีกอย่างนึงคือ การกระทำทุกอย่างของเรา (ผู้ควบคุมตัวละคร) จะส่งผลต่อ Gameplay และ เนื้อเรื่องที่จะดำเนินต่อจากนี้ การตัดสินใจบางอย่างอาจทำให้เราได้เพื่อนร่วมเดินทางเพิ่ม บางทีเวลาลำบากเอาจะมีคนเข้ามาให้ความช่วยเหลือเพราะเราเคยไปช่วยเขามาก่อน บางทีอาจถ้าเราเลือกจะฆ่าคน หรือ ขโมยของ อาจทำให้ตัวละครมีอาการเศร้า บางทีอาจจะเกิดเหตุการหนีออกจากบ้าน ซึ่งมันหลากหลายมาก ซึ่งทั้งหมดมันไม่ได้ขาวหรือดำ แต่มันจะแสดงความเป็น “สีเทา” ที่ซ่อนอยู่ในมนุษย์ทุกคน ผ่านวิกฤติสงคราม ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่ที่คุณเองจากเลือกเดินทางไหน

PERFOMANCE

หลายๆคนอาจจะไม่ชอบการที่เกมมุมมองจากด้านข้าง แต่สำหรับผมคิดว่ามันคือมุมมองที่เหมาะสมแล้วสำหรับเกมนี้มันทำให้เราไม่เล่นยากจนเกิดเป็นและมีเวลาเอาไปคิดกับการตัดสินใจในเรื่องต่างๆมากขึ้น ทางด้านเสียง ภาพและบรรยากาศ ก็ทำได้ออกมาตรงกับธีมเมืองที่ถูกทำลายการจากการสู้รบกันได้ดีมาก หลายคนอาจจะขัดใจกับความทะมึนทึบของเกมแต่ต้องอย่าลืมว่าเรากำลังอยู่ในสงคราม

อีกส่วนนึงที่อยากชมคือ Movement ในการต่อสู้หรือการใช้อาวุธ คือ มันไม่ได้หวือหวาแต่สมจริง แต่ละตัวละครนั้นจะ Movement ที่ต่างกันตามความสามารถในการต่อสู้ ใครเป็นทหารหรือผู้ที่ฝึกการต่อสู้มา ก็ทำได้สมจริงมากๆ ใครที่ต่อสู้ไม่เก่ง ท่าทางก็จะดูเก้ๆกังๆ เรียกได้ว่าเก็บงานได้ละเอียดมาก และไม่ใช่เฉพาะท่าทางการต่อสู้เท่านั้น รายละเอียดของฉาก ดีเทลตัวละคร effect ก็ทำได้เนี้ยบเช่นกัน

เรียกได้ว่าเป็นเกมที่สะท้อนอีกมุมมองนึงของ “สงคราม” ได้อย่างดีเยี่ยม แม้เนื้อเรื่องจะดูเพลนๆ ไปนิดแต่ก็ยืดหยุ่นและหลากหลาย (ตรงข้ามกับ DLC ที่ดูจะเป็นเส้นตรงเป๊ะ) แต่ก็ทดแทนมาด้วยความหลากหลายในเส้นทางการดำเนินเรื่องที่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้เล่นเอง แต่ทั้งหมดทั้งมวลตัวเกมก็สามารถสะท้อนนิยามของเกมที่ว่า

ในสงครามไม่ใช่ทุกคนที่เป็นทหาร

ได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนที่สุดแล้ว

——————————————–——————————————–
This War Of Mine BY INSIDE THE GAME
คอลัมน์โดย Wacther
ติดตามรีวิวเกม และ อื่นๆที่น่าสนใจได้ที่ : INSIDE THE GAME