กรณีเมื่อเดือน พ.ค.58 ตำรวจและทหาร พบศพผู้เสียชีวิตถูกฝังไว้รวมกันกว่า 30 ศพ บริเวณแคมป์คนงานกลางป่าบนเขาแก้ว พื้นที่หมู่ 8 บ้านตะโล๊ะ ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา สืบสวนทราบว่า ทั้งหมดเป็นศพของชาวโรฮีนจา ที่ลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักร และหลบซ่อนบริเวณค่ายกักกันดังกล่าว เพื่อรอส่งต่อไปยังประเทศที่ 3 ต่อมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกคำสั่งแต่งตั้งพนักงานสืบสวนสอบสวนเพื่อติดตามและจับกุมผู้ต้องหาซึ่งมีผู้ร่วมขบวนการทั้งทหาร ตำรวจ และนักการเมืองท้องถิ่นจำนวนมาก ยศสูงสุดระดับ นายพลทหาร และมีการจับกุมส่งดำเนินคดีไปแล้วหลายราย ตามที่ได้เสนอข่าวมาอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น

ย้อนคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา(2) ‘พล.ท.’สิ้นใจคาคุก!

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 2 ก.ย. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะรอง ผอ.ศพดส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ศุภเศรษฐ์ โชคชัย รอง ผบช.ทท. พ.ต.อ.ณรงค์ เทศวิบูลย์ รอง ผบก.ปคม. พ.ต.อ.ธนวัต เส้งสุย ผกก.สส.ภ.จว.สงขลา นายสมัคร ทัพธานี มูลนิธิ LPN นายสุปรีย์ เสาวิจิตร มูลนิธิ O.U.R. ร่วมกันแถลงจับกุมนายหม่อง ถ่าน ทุน และนางราฮานา เจ๊ะสะมะแอ สองสามีภรรยา คดีค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจา หลังเปลี่ยนสัญชาติหลบหนีไปกบดานประเทศเพื่อนบ้าน โดยจับกุมทั้งคู่ได้ที่บริเวณร้านอาหารแห่งหนึ่ง ริมถนนพระราม 9 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 1 ก.ย. ที่ผ่านมา

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศพดส.ตร. เร่งติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับที่ยังหลบหนีอยู่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาตำรวจสามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหาเพิ่มเติมได้จำนวนหลายราย จึงสั่งการให้ชุดปฏิบัติการ ศพดส.ตร. ออกติดตามจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ คือนายหม่อง ถ่าน ทุน สัญชาติเมียนมา อายุ 55 ปี และนางราฮานา เจ๊ะสะมะแอ สัญชาติไทย สามีภรรยา ซึ่งเจ้าหน้าที่สืบทราบว่าหลบหนีหมายจับโดยการเปลี่ยนชื่อ นามสกุล และใช้หนังสือเดินทางประเทศมาเลเซีย เดินทางเข้ามายังประเทศไทยอีกครั้ง จนเมื่อวันที่ 1 ก.ย. ชุดปฏิบัติการ ศพดส.ตร. สามารถยืนยันตัวตนของผู้ต้องหาทั้งสองได้อย่างแน่นอนจึงแสดงตัวเข้าจับกุม ตามหมายจับศาลจังหวัดนาทวี มีรายละเอียดดังนี้

  1. นายหม่อง ถ่าน ทุน สัญชาติเมียนมา หรือ นายซุลกิฟลี บิน อับดุลลาห์ (Mr.Zulkifli Bin Abdullah) สัญชาติมาเลเซีย ถูกจับกุมตามหมายจับศาลจังหวัดนาทวี ที่ 308/2558 ลง 22 มิ.ย.58 ความผิดฐาน สมคบและร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป กระทำการอันเป็นการค้ามนุษย์โดยกระทำต่อบุคคลอายุไม่เกินสิบห้าปี ร่วมกันช่วยเหลือด้วยประการใดๆ แก่บุคคลต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ร่วมกันหน่วงเหนี่ยว กักขัง ผู้อื่นโดยทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และร่วมกันเรียกค่าไถ่ และหมายจับศาลจังหวัดนาทวี ที่ 477/2558 ลง 27 ส.ค.58 ความผิดฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน
  2. นางราฮานา เจ๊ะสะมะแอ อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 39/12 ซอยสุมาลี ต.หาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา หรือ นางโรฮานา บินติ มาต ซาอิด (Mrs.Rohano Binti Mat said) ตามหมายจับของศาลจังหวัดนาทวี ที่ 307/2558 ลง 22 มิ.ย.58 โดยกล่าวหาว่าสมคบและร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป กระทำการอันเป็นการค้ามนุษย์โดยกระทำต่อบุคคลอายุไม่เกินสิบห้าปี ร่วมกันช่วยเหลือด้วยประการใดๆ แก่บุคคลต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ร่วมกันหน่วงเหนี่ยว กักขัง ผู้อื่นโดยทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และร่วมกันเรียกค่าไถ่ และ หมายจับศาลจังหวัดนาทวี ที่ 476/2558 ลง 27 ส.ค.58 โดยกล่าวหาว่า สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน

สำหรับผู้ต้องหาทั้งสองมีการเปลี่ยนชื่อ นามสกุล และใช้สัญชาติมาเลเซีย พักอาศัยอยู่ที่บ้านพักภายในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ร่วมกับบุตรชายและบุตรสาว ประกอบอาชีพค้าขาย ทำธุรกิจออนไลน์ และทำธุรกิจทัวร์นำเที่ยวอยู่ในประเทศมาเลเซีย ถือว่าผู้ต้องหาทั้งสอง เป็นผู้ต้องหารายสำคัญที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องการตัวเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นผู้กระทำผิดระดับหัวหน้าขบวนการในการควบคุมสั่งการในการนำชาวโรฮีนจา จากรัฐยะไข่ ประเทศเมียนมา ผ่านมายังประเทศไทย และส่งต่อไปยังประเทศมาเลเซีย โดยเปิดบริษัทรถทัวร์โดยสารบังหน้า แล้วแอบขนชาวโรฮีนจาจำนวนมากมาอย่างต่อเนื่อง จนมีฐานะร่ำรวย ซึ่งภายหลังเมื่อทราบว่าตนเองถูกออกหมายจับ จึงเดินทางหลบหนีไปยังประเทศมาเลเซีย จนมาถูกจับกุมหลังเดินทางเข้ามาในประเทศไทยอีกครั้ง

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า คดีนี้คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ได้ดำเนินการออกหมายจับผู้ต้องหารวมทั้งสิ้น 153 ราย จับกุมแล้ว 124 ราย เสียชีวิต 3 ราย หลบหนี 26 ราย แบ่งเป็นหมายจับมีคุณภาพ 17 ราย และไม่มีคุณภาพ 9 ราย ผู้ต้องหาที่เหลืออยู่เป็นระดับลูกน้อง 15 หมายจับ อยู่ระหว่างเร่งติดตามตัวซึ่งหลบหนีไปมาระหว่างไทยและตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีค้ามนุษย์คดีนี้ถือเป็นคดีที่มีความสำคัญ มีการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาเป็นจำนวนมากกว่า 150 ราย เครือข่ายผู้กระทำผิดในคดีนี้มีความเชื่อมโยงกันระหว่าง บุคคลในแวดวงข้าราชการ ตำรวจ ทหารนักการเมือง ซึ่งใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาประโยชน์กับขบวนการค้ามนุษย์และแรงงานเถื่อน โดยการดำเนินคดีในครั้งนี้ ได้มีการกำชับคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนให้กระทำอย่างรอบคอบ รวบรวมพยานหลักฐานให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด รวมทั้งให้ติดตามจับกุมผู้ต้องหาในเครือข่ายดังกล่าวทั้งที่อยู่ในประเทศ และหลบหนีออกไปยังต่างประเทศ ดังนั้น ผู้กระทำผิดเกี่ยวกับคดีค้ามนุษย์ เครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ เครือข่ายลักลอบขนแรงงานต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร กลุ่มผู้กระทำผิดเหล่านี้จะต้องถูกดำเนินคดีโดยเด็ดขาดทั้งหมด ไม่มีข้อยกเว้น รวมทั้งจะมีการตรวจค้นเพื่อยึดอายัดทรัพย์ เพื่อไม่ให้สามารถกลับมากระทำผิดซ้ำได้อีก

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า คดีนี้มั่นใจว่าจะเอาผิดกับผู้ต้องหาทั้ง 2 คนได้ เนื่องจากมีพยานบุคคล การใช้โทรศัพท์ และเส้นทางการเงินที่เชื่อมโยงกับพลโทมนัส คงแป้น จึงมั่นใจในพยานหลักฐาน ถึงแม้ว่าผู้ต้องหาจะให้การภาคเสธ คือรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริง แต่ปฏิบัติไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักลอบขนชาวโรฮีนจาแต่อย่างใด จากการสอบสวนพบว่าทั้งคู่เดินทางเข้าประเทศไทยเมื่อวันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยมาพักที่โรงแรมย่านสุรวงศ์ จากนั้นได้ย้ายไปพักโรงแรมย่านรามคำแหง ก่อนถูกจับกุมตัวได้ดังกล่าว

นายสุปรีย์ กล่าวว่า ในฐานะ O.U.R. ที่เป็นองค์การระหว่างประเทศที่ไม่แสวงหาผลกำไร ต้องขอชื่นชมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีศักยภาพดำเนินคดีกับผู้กระผิด ยืนยันว่าตำรวจทำงานอย่างจริงจัง