โดยอายุของสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบัน จะครบอายุวันที่ 23 มี.ค.2566 ซึ่งงานนี้ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ก็มีการวาง “ไทม์ไลน์จัดการเลือกตั้ง” ไว้แล้วเบื้องต้น โดยในกรณีที่สภาอยู่ครบวาระ คาดว่า พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. มีผลบังคับใช้ภายในปลายเดือน มี.ค. 2566 จากนั้น กกต. เตรียมประกาศกำหนดวันเลือกตั้ง และประกาศกำหนดวันรับสมัคร ในช่วงวันที่ 31 มี.ค.2566 โดยเบื้องต้นมีการกำหนดให้วันที่ 7 พ.ค.2566 เป็นวันเลือกตั้งทั่วไป ส่วนกรณีเกิดการยุบสภาก่อนครบวาระ ก็มีการเตรียมแผนไว้เช่นกัน โดยจะต้องกำหนดวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วันตามรัฐธรรมนูญมาตรา 103 กำหนด

ทั้งนี้หากดูบริบทการเมืองแล้ว มีความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลจะอยู่ไม่ครบเทอม โดยไทม์ไลน์ยุบสภาที่ถูกพูดถึงมากที่สุด คือการยุบสภาหลังการประชุมเอเปค ที่จะมีขึ้นในช่วงเดือน พ.ย.2565 โดยอยู่ระหว่างช่วงเดือน ธ.ค.2565-ม.ค.2566 ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองและบริบทในขณะนั้น ดังนั้น “ไทม์ไลน์เลือกตั้ง” จากกรณีการยุบสภาก่อนครบวาระ ที่นักวิชาการ-นักการเมือง เห็นตรงกันก็คือ การเลือกตั้งครั้งใหม่ น่าจะเกิดขึ้นได้ภายในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.2566

แต่การเลือกตั้งครั้งใหม่ ก็ยังมีเงื่อนไขที่จะต้องลุ้นระทึกด้วยเช่นกัน จากกรณีที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์รับคำร้องขอให้ตีความ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ในหลายมาตรา มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ รวมทั้งรับคำร้องขอให้ตีความ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … มาตรา 25 และ 26 มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ไว้พิจารณาวินิจฉัยเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ก็จะต้องรอลุ้นกันต่อไปว่า กระบวนการพิจารณาวินิจฉัยกฎหมายลูกทั้ง 2 ฉบับของศาลรัฐธรรมนูญ จะเป็นไปได้รวดเร็วแค่ไหน เพราะระยะเวลาดังกล่าว ยิ่งศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลานานเท่าใด ก็จะยิ่งส่งผลให้การประกาศใช้ร่างกฎหมายลูกทั้ง 2 ฉบับ ต้องทอดเวลาออกไปนานมากยิ่งขึ้น จนถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์ “สุญญากาศด้านกฎหมาย” ขึ้น หากเกิดการยุบสภาในช่วงเวลาที่กฎหมายลูกเกี่ยวกับการเลือกตั้งทั้ง 2 ฉบับ ยังค้างอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ

ซึ่ง “สุญญากาศด้านกฎหมาย” นี้ จะส่งผลต่อการจัดการเลือกตั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะจะเท่ากับว่า ไม่มีกฎหมายใดมารองรับการจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ทั้งเรื่องการแบ่งเขต เรื่องการเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบ และอาจจะเกิดปัญหาสำหรับพรรคการเมือง ในการทำไพรมารีโหวตด้วยเช่นกัน

ดังนั้นจะต้องมาลุ้นกันว่า ปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายลูกทั้ง 2 ฉบับ จะจบลงอย่างไร และกฎหมายลูกทั้ง 2 ฉบับ จะสามารถประกาศใช้ได้ทันเวลา ก่อนที่สถานการณ์การเมืองจะเกิดเงื่อนไขการยุบสภาหรือไม่

อีกเรื่องที่ต้องลุ้นไม่แพ้กัน ก็คือปมร้อนวาระ 8 ปี การดำรงตำแหน่งนายกฯ ของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดลงมติชี้ชะตา “บิ๊กตู่” ในวันที่ 30 ก.ย.ที่จะถึงนี้ ซึ่งไม่ว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้ จะออกมาในทิศทางใด ล้วนส่งผลกระทบต่อเกมการเมืองและเกมอำนาจในช่วงโค้งสุดท้ายนี้ อย่างหลีกเลี่ยงได้

เพราะหากคำวินิจฉัยชี้ชัดว่า “บิ๊กตู่” ครบวาระการดำรงตำแหน่ง 8 ปีแล้ว ก็จะกลายเป็นจุดพลิกผันทางการเมืองของ “รัฐบาลเรือเหล็ก” เพราะจะต้องเข้าสู่โหมดการโหวตเลือกนายกฯ คนใหม่ ซึ่งอาจจะกลายเป็นชนวนเหตุที่นำไปสู่รอยร้าวในพรรคร่วมรัฐบาล นอกจากนั้นยังอาจจะเกิดความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดแรงกดดันให้ยุบสภา เพื่อล้างกระดานอำนาจ เปิดทางสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ จนทำให้สถานการณ์การเมืองในสภาช่วงโค้งสุดท้าย ร้อนแรงมากยิ่งขึ้น

แต่หากคำวินิจฉัยออกมาในแนวทางที่ว่ายังไม่ครบวาระดำรงตำแหน่งต่อได้อี 2 ปี หรือ 4 ปี ก็อาจจะทำให้เกิดกระแสความเห็นต่างของประชาชน จนนำไปสู่การลงถนน เกิดการออกมาชุมนุมของประชาชน จนอาจจะกลายเป็นปัญหาบานปลายสำหรับรัฐบาลได้เช่นกัน ดังนั้นสถานการณ์การเมืองช่วงโค้งสุดท้ายภายใต้ผลคำวินิจฉัยในแนวทางนี้ ก็อาจจะทำให้สถานการณ์การเมืองทั้งในและนอกสภาช่วงโค้งสุดท้าย ร้อนระอุได้เช่นกัน

สุดท้ายก็คงจะต้องรอดูกันว่าปมร้อนวาระ 8 ปี ของ “บิ๊กตู่” จะมีปลายทางตอนจบเป็นอย่างไร 30 ก.ย.นี้ได้รู้กัน!

ปรับโฟกัสมาที่ความเคลื่อนไหวของรัฐบาล โดยเฉพาะ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะรักษาราชการนายกฯ ที่ยังออกอาการฟิต ลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมีการปรับลุค ใส่กางเกงยีนโดนใจวัยรุ่น ในระหว่างลงพื้นที่ จ.หนองบัวลำภู แต่ขณะเดียวกันการออกแอ๊คชั่นของ “บิ๊กป้อม” ในห้วงเวลาหลังจากนี้ อาจจะกลายเป็นปัญหาได้ เนื่องจากอยู่ในช่วงระยะเวลา 180 วัน ก่อนวันครบอายุของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีการกำหนดให้ผู้สมัครและพรรคการเมือง ต้องปฏิบัติเกี่ยวกับการหาเสียงให้เป็นไปตาม  พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 ดังนั้นหลังจากนี้ การลงพื้นที่ในฐานะรองนายกฯ หรือรักษาการนายกฯ แต่มีความเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐติดตัวไปด้วย อาจจะถูกมองเป็นเรื่องการแอบแฝงหาเสียงที่ผิดกฎหมายได้

ที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือความเคลื่อนไหวของพรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะในส่วนของ พรรคเพื่อไทย จากความเคลื่อนไหวของ “ตระกูลชินวัตร” ที่ยังออกอาการฟาดแรงไม่มีตก “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ที่เริ่มมีการปิดหน้าออกสื่อมากขึ้น ปลุกกระแสชนะการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ในพื้นที่ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยอย่างต่อเนื่อง จนเรียกได้ว่าเป็นการเดินหน้ารบเต็มกำลัง!

ขณะที่ความเคลื่อนไหวของ “โทนี่ วู้ดซัม” ทักษิณ ชินวัตร ก็ฉวยจังหวะครบรอบ 16 ปี รัฐประหาร 19 ก.ย.2549 ครบรอบ 16 ปี ออกมาโจมตีรัฐบาล โดยอธิบายถึงความเสียหายที่เกิดจากการทำรัฐประหาร แถมยังทิ้งท้ายแบบเจ็บแสบว่า “ผมบอกแล้วว่าทหารเหมือนหัวหน้ายามที่ใช้เฝ้าทรัพย์สิน ดูแลความปลอดภัย ไม่ใช่มาเป็น CEO หรือมาบริหารประเทศ เพราะเป็นแต่ใช้ตังค์ แต่หาตังค์ไม่เป็น” พร้อมกันนั้น ก็ยังเดินเกมตามหลอน โดยล่าสุด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ภาพถ่ายคู่ ทักษิณ ชินวัตร ที่ปีนัง มาเลเซีย พร้อมข้อความออดอ้อนคิดถึงบ้านเรา ซึ่งก็มองได้ว่าเป็นความพยายามเคลื่อนไหวแบบสร้างกระแสในเรื่องกลับบ้าน สอดรับกับกระแสที่ “อุ๊งอิ๊ง” และแกนนำพรรคเพื่อไทย มีการพูดถึงเรื่อง “พาทักษิณกลับบ้าน” หรือ “เอาพ่อกลับบ้านมาเลี้ยงหลาน”

ปิดท้ายกันด้วยเรื่องความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองขนาดเล็ก ที่ตอนนี้กำลังหาทาง “หนีตาย” กติกาเลือกตั้งใหม่ ที่ถูกมองว่าเอื้อพรรคใหญ่มากกว่าพรรคเล็ก ก็จะทำให้เห็นได้ว่า ในช่วงที่ผ่านมามีกระแสข่าวพรรคเล็กออกแอ๊คชั่นในหลายรูปแบบ ทั้งการเตรียมยุบรวมพรรคเพื่อสู้กติกาเลือกตั้ง แต่ล่าสุดก็มีภาพการ “ดีลล่ม” ให้ได้เห็น อย่างกรณี พรรคไทยสร้างไทย ที่นำโดย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรค และ พรรคสร้างอนาคตไทย ที่มี สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นั่งตำแหน่งประธานพรรค ที่มีข่าวลือออกมาก่อนหน้านี้ว่า จะจับมือกันสู่ศึกเลือกตั้ง แต่ดูแล้วอนาคตคงจับมือร่วมกันไม่ได้ เพราะไม่ต่างกับเสือสองตัวที่อยู่ในถ้ำเดียวกันไม่ได้ สุดท้ายจึงกลายเป็นดีลล่ม ต่างคนต่างเดินในท้ายที่สุด.

สุดท้ายแล้ว คงจะต้องรอดูกันต่อไปว่า เกมการเมืองในช่วงโค้งสุดท้ายของ “รัฐบาลเรือเหล็ก” จะร้อนแรงเดือดดาลมากแค่ไหน…อีกไม่นานคงได้รู้กัน.