เมื่อวันที่ 18 เม.ย. ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมติดตามสถานการณ์ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ว่า สถานการณ์โรคขณะนี้ เป็นไปตามที่มีการคาดการณ์ไว้ หลังจากที่ประชาชนมีการเดินทางพบปะทำกิจกรรมร่วมกันมากขึ้น แต่ยังเป็นสถานการณ์ที่รับมือได้ เพราะถึงแม้จะมีการติดเชื้อมากขึ้น แต่อาการไม่มาก จำนวนผู้ใส่ท่อช่วยหายใจรวมทั้ง 12 เขตสุขภาพขณะนี้ มีไม่ถึง 20 คน และในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีผู้เสียชีวิต 2 ราย ถือว่าน้อยมาก

ตอนนี้สถานการณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับสถานการณ์การระบาดของทั่วโลก ทั้งนี้ สายพันธุ์ XBB ถือเป็นสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอน การกลายพันธุ์ของไวรัสเป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งองค์การอนามัยโลก ยังให้เป็นสายพันธุ์ที่ต้องติดตามเฉยๆ ยังไม่ถึงกับเป็นสายพันธุ์ที่ต้องกังวลมากนักไม่ว่าจะเป็น XBB.1.16 ในแง่ของความรุนแรง ยังไม่มีหลักฐานว่ารุนแรงกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ส่วนเรื่องการติดง่ายขึ้นกว่าเดิมหรือไม่นั้น หลบภูมิคุ้มกันได้หรือไม่ ข้อมูลทางห้องปฏิบัติการต่างๆ พบว่าอาจจะติดได้ง่ายขึ้น แต่ไม่ได้เป็นการติดง่ายแบบมีนัยสำคัญมากนักใน ดังนั้น การดูสถานการณ์ควรดูทั้งเรื่องของสายพันธุ์ อาการทางคลินิก ระบาดวิทยาควบคู่กันไป การดูข้อมูลเพียงด้านใดด้านเดียวอาจจะไม่ครบถ้วน

ดังนั้น ที่ประชุมเห็นสถานการณ์ตรงกันว่า ถึงแม้จะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นแต่อาการไม่รุนแรง ส่วนผู้ที่มีอาการรุนแรง หรือมีอาการมาก หรือกลุ่มเสี่ยงยาต้านไวรัสทั้งหลายยังใช้ได้ดีอยู่ ยังไม่มีข้อมูลว่า เชื้อไวรัสไม่ตอบสนองต่อยาต้านไวรัส ไม่ว่าจะเป็นฟาวิพิราเวียร์ โมนูลพิราเวียร์ เรมเดซิเวียร์ Long acting antibody ยังมีประโยชน์ในการรักษา อยู่ที่ประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญซึ่งมีการประชุมตั้งแต่เมื่อวันที่ 17 เม.ย. ก็เห็นพ้องต้องกันว่า การรักษายังคงเหมือนเดิม คือคนอาการน้อยหรือไม่มีอาการ ไม่ต้องกินยาอะไร ส่วนกลุ่มเสี่ยงอาการน้อยก็ให้ยาตามแนวทางเดิม เพียงแต่ปรับการให้ยาบางอย่างเพื่อให้สอดคล้องและเข้าใจมากขึ้น ส่วนกรณีที่มีโรงเรียนแพทย์ ปรับแนวทางการให้ยานั้น ตนได้มีการพูดคุยกับผู้อำนวยการโรงพยาบาลแล้ว ยืนยันว่าสื่อบางสื่อมีการสื่อสารข้อความของอาจารย์ออกไปไม่ครบถ้วนไม่ถูกต้อง ทั้งนี้ ยืนยันว่ายาต่างๆ มีเพียงพอโมนูลพิราเวียร์ มีหลายล้านเม็ด แพกซ์โลวิดก็มีสามารถรักษาได้เป็นหมื่นคน เรมเดซิเวียร์ มีเป็นแสน ดังนั้นสบายใจได้ เราไม่ขาดแคลนยารักษา

นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบตามที่อนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันมีคำแนะนำว่า การฉีดวัคซีนโควิด-19 จะเป็นการฉีดประจำปีเหมือนกับไข้หวัดใหญ่ ดังนั้นยุทธศาสตร์ภาพรวมการจัดการเรื่องโควิด-19 เราจะจัดการมันเหมือนกับโรคประจำถิ่นโรคที่มีการระบาดตามฤดูกาล ดังนั้นการฉีดวัคซีนจะฉีดควบคู่กับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ซึ่งจะมีการรณรงค์ในการฉีดทั้งประเทศวันที่ 1 พ.ค. ในกลุ่มเสี่ยง 608 บุคลากรทางการแพทย์แลสาธารณสุข และอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.) รวมทั้งเด็ก ถ้าประชาชนคนอื่นมีความประสงค์ก็สามารถฉีดได้เช่นเดียวกัน โดยฉีดคู่กันทั้งวัคซีนไข้หวัดใหญ่

ทั้งนี้ มีข้อมูลทางระบาดวิทยาพบว่าคนที่มีอาการเหมือนไข้หวัดใหญ่คือมีไข้ น้ำมูก ส่วนใหญ่จะเป็นไข้หวัดใหญ่ 65% เป็นโควิด 3% ดังนั้นตัวที่พบมากคือไข้หวัดใหญ่ การป้องกันจะคล้ายคลึงกันคือฉีดวัคซีน คนที่มีอาการทางเดินหายใจ ไม่สบายก็ใส่หน้ากากอนามัยก็จะลดการแพร่กระจายเชื้อไปได้ ทั้งนี้ในช่วงบ่ายวันนี้ กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับแพทยสภา จะมีการสื่อสาร ผ่าน Facebook Live ให้กับแพทย์ทั้งประเทศได้รับทราบ เพื่อให้ผู้รักษาเข้าใจข้อมูลที่ตรงกัน เพราะที่ผ่านมา ข้อมูลที่อยู่ในโซเชียลมีเดียเป็นข้อมูลที่ถูกต้องเพียงครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งไม่ถูกต้องทำให้แพทย์เกิดความสับสน หลังจากนี้ก็จะมีการสื่อสารไปถึง อสม. ด้วย

เมื่อถามว่า ตอนนี้คนตื่นสถานการณ์โรคแล้วแห่ไปฉีดวัคซีน ถามว่ามีความจำเป็นหรือไม่ นพ.โอภาส กล่าวว่า ก่อนเข้าสู่ช่วงฤดูฝนก็ฉีดได้เลย ฉีดพร้อมไข้หวัดใหญ่จะสะดวกที่สุด เพราะการระบาดของมันจะใกล้เคียงกับไข้หวัดใหญ่ไม่ต้องไปนับแล้วว่ากี่เข็ม ต่อไปจะฉีดปีละ 1 ครั้งเป็นอย่างน้อย เวลาฉีดห่างจากเข็มสุดท้าย 3 เดือน หรือว่าติดเชื้อมาแล้ว 3 เดือนก็สามารถรับวัคซีนได้ สถานการณ์การติดเชื้อการระบาดไม่มาก อย่างอัตราผู้เสียชีวิต ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีอยู่ 2 ราย เคสเพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากของเดิมเรามีเคสน้อยมาก ตอนนี้ติดเยอะขึ้น ดังนั้นถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ ก็เลยเยอะ แต่จากการสอบถามเตียงโรงพยาบาลถึงผู้ที่มีอาการหนักก็ถือว่าน้อยมากๆ อย่างไรก็ตาม ต้องมีความระมัดระวัง สบายใจเกินไปก็ไม่ดี ตื่นตระหนกเกินไปเดี๋ยวชีวิตจะอยู่ไม่เป็นสุข ก็ขอให้ใช้ชีวิตอย่างทางสายกลาง มีความระมัดระวัง โดยเฉพาะกลุ่ม 608 คน ที่ยังไม่รับวัคซีนประจำปี หากสะดวกก็สามารถติดต่อขอรับวัคซีนใกล้บ้านได้

“การเพิ่มขึ้นขณะนี้ ยังห่างไกลจากสมัยก่อนเยอะมาก ตอนนี้คนที่ใส่ท่อช่วยหายใจทั้ง 12 เขตสุขภาพ มีไม่ถึง 20 คน และเราติดตามทุกวัน ทุกสัปดาห์อยู่แล้ว อย่างคนที่ไปทำกิจกรรมสงกรานต์ กลับมาที่ทำงานอยู่ที่บ้าน หากมีอาการไข้ ไอ น้ำมูก สามารถตรวจ ATK ได้ หากมีอาการก็ไปพบแพทย์เพื่อรับคำปรึกษาต่อไป ขอย้ำว่าสายพันธุ์นี้ ยังไม่มีข้อมูลว่ารุนแรงกว่าเดิม ดูเหมือนว่าจะติดง่ายกว่าเดิม แต่ข้อมูลทางห้องปฏิบัติการไม่ได้มีนัยสำคัญ สายพันธุ์ที่พบในบ้านเราคือ XBB.1.5 ไม่ใช่ XBB.1.6 ขออย่ากังวล ไวรัสเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ตลอดเวลา แต่เรามีทีมติดตามอยู่” นพ.โอภาส กล่าว.