เมื่อวันที่ 27 ก.ย. น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “แจงให้เคลียร์กับทีมโฆษกรัฐบาล” ถึงสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ ว่า จากกรณีที่พายุดีเปรสชัน “เตี้ยนหมู่” เข้ามาในประเทศไทย ส่งผลให้เกิดปัญหาน้ำท่วมใน 34 จังหวัดนั้น นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยประชาชนอย่างมาก และตั้งใจจัดสรรเวลาไปเยี่ยมเยียนประชาชนในพื้นที่ต่างๆ​ ให้ได้มากที่สุด  สำหรับมาตรการเยียวยาประชาชนหลังน้ำลดนั้น นายกฯ​ ได้กำชับทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องว่าหากสถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลายลงแล้ว ให้เร่งดำเนินการสำรวจพื้นที่เพื่อยื่นเรื่องขอเงินเยียวยาให้ประชาชน โดยหลักเกณฑ์การช่วยเหลือเยียวยาเป็นไปตามกฎระเบียบของกระทรวงการคลัง ส่วนพื้นที่เพาะปลูกที่มีพืชผลการเกษตรได้รับความเสียหายจะได้รับการเยียวยาครัวเรือนละไม่เกิน 30 ไร่ ซึ่งอัตราแยกเป็นข้าวได้รับไร่ละ 1,340 บาท พืชไร่และพืชผัก ไร่ละ 1,980 บาท ไม้ผลไม้ยืนต้นและอื่นๆ ไร่ละ 4,048 บาท ขณะที่ผู้ประกอบอาชีพประมงจะได้รับการเยียวยาเช่นกัน  

รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวอีกว่า ส่วนบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายนั้น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย จะเข้าไปสำรวจเพื่อสรุปข้อมูลแล้วดำเนินการเสนอเรื่องขอเงินเยียวยาให้ผู้ประสบภัยทุกคนอย่างครบถ้วน จึงขอให้ทุกคนไม่ต้องกังวล เพราะนายกฯ​ ได้กำชับแล้วว่าให้เร่งดำเนินการเรื่องเหล่านี้ 

น.ส.รัชดา กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์น้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำนั้น จากข้อมูลของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระบุว่าเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาตรน้ำในอ่างรวมกันเป็นจำนวน 11,376 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) คิดเป็น 46 เปอร์เซ็นต์ของความจุของอ่างทั้งหมด และยังสามารถรับน้ำได้อีก 13,495 ล้าน​ ลบ.ม. ทั้งนี้กรมชลประทานมีการตรวจสอบวัดปริมาณน้ำในเขื่อนอยู่ตลอดว่าเมื่อมีฝนตกลงมาอย่างนี้มีความจำเป็นที่ต้องระบายน้ำออกเท่าไหร่ เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับกักเก็บน้ำในเขื่อน ส่วนสภาพอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำขนาดกลางอื่นๆ ทั่วประเทศ 447 แห่งนั้น มีปริมาตรน้ำในอ่างรวมกัน 48,013 ล้าน​ ลบ.ม. ซึ่งคิดเป็น 64 เปอร์เซ็นต์ของความจุของอ่างทั้งหมด และยังสามารถรับน้ำได้อีก 27,762 ล้าน​ ลบ.ม.