จากกรณีคำสั่งมหาเถรสมาคม ที่แต่งตั้งพระสังฆาธิการ และถอดถอนเจ้าคณะจังหวัด 3 รูป ปรากฏทางออนไลน์ เมื่อวันที่ 30 ก.ย.64 ที่ผ่านมา โดย 1 ในนั้นมีพระเทพสารเมธี (เจ้าคุณบัวศรี) เจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ (ธ) ทำให้คณะสงฆ์จังหวัดกาฬสินธุ์ (ธ) เคลื่อนไหวมีมติคัดค้านทันที เพราะมองว่าไม่เป็นธรรม ไม่มีเหตุที่จะปลด และคำสั่งนี้ทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาต่อการปกครองในพุทธศาสนา เนื่องจากพระเทพสารเมธี เป็นพระที่มีปฏิปทาที่งดงาม จนมีการเคลื่อนไหวล่ารายชื่อหนึ่งแสนเพื่อถวายฎีกาคัดค้าน ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 4 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่วัดประชานิยม เขตเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ จ.กาฬสินธุ์ ยังคงมีพุทธศาสนิกชนจากทั่วสารทิศ ทั้งภายในจังหวัดกาฬสินธุ์และต่างจังหวัด เดินทางมาร่วมลงชื่อเพื่อถวายฎีกาอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่เมื่อวานนี้ (3 ต.ค.) มีชาวพุทธรวมทั้ง นางบุญรื่น ศรีธเรศ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เขต 1 นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษา รมว.คมนาคม นายจารุวัฒน์ บุญเพิ่ม นายกเทศมนตรีเมืองกาฬสินธุ์ นายสิทธิศักดิ์ ยนต์ตระกูล อดีต ส.ว.กาฬสินธุ์ เครือข่ายองค์กร นักธุรกิจ พ่อค้า ประชาชนกว่าหนึ่งพันคน ร่วมลงชื่อตลอดวัน

หนึ่งแสนรายชื่อถวายฎีกา สวนมติ ‘มส.’ปลด ‘3 พระสังฆาธิการ’
ปลดฟ้าผ่า! 3เจ้าคณะจังหวัด ‘พระเทพสารเมธี-พระธรรมรัตนาภรณ์-พระราชปริยัติสุนทร’

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทุกคนที่กล่าวมาไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับคำสั่งปลดของมหาเถรสมาคม ที่มีการถอดถอนและแต่งตั้ง จจ.กาฬสินธุ์ (ธ) และต้องการให้มหาเถรสมาคมแก้ไขในสิ่งที่ถูกต้อง โดยมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องต่อการกระทำของมหาเถรสมาคม เชื่อว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลังบิดเบือนข้อเท็จจริง นอกจากนี้พุทธศาสนิกชนผู้ศรัทธาทั้ง 18 อำเภอ ยังได้รวบรวมรายชื่อและจะนำมาส่งในวันพรุ่งนี้ (5 ต.ค.) เบื้องต้นยอดประชาชนลงชื่อกว่า 3 หมื่นคน ที่ญาติโยมบางส่วนยังเปิดให้ลงชื่อออนไลน์ในนามคณะสงฆ์และพุทธศาสนิกชนขอลงชื่อไม่เห็นด้วยกับมติถอดถอนและแต่งตั้งเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ (ธ) ที่มีการเผยแพร่ไปทั้งประเทศ

ด้าน นายเบญจมินทร์ เบญจมาศ อายุ 50 ปี อาชีพทนายความ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่เฉพาะตนเท่านั้นที่รู้สึกช็อกและสะเทือนใจ ชาวพุทธ ศิษยานุศิษย์ และประชาชนทุกคน ต่างก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกันกับคำสั่งของมหาเถรสมาคม ที่สั่งถอดถอนพระเทพสารเมธี หรือเจ้าคุณบัวศรี เจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ (ธ) ว่าทำไมท่านจึงถูกถอดถอน เนื่องจากท่านเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีเมตตาธรรมกับญาติโยมทุกคนโดยเสมอภาค เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนกาฬสินธุ์ทั้งจังหวัด เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของญาติโยม และสาธุชนทั่วไป นอกจากนี้ยังสร้างคุณสร้างประโยชน์ให้กับพี่น้องชาวกาฬสินธุ์อย่างมากมาย เรื่องที่เกิดขึ้นตนพร้อมกับพี่น้องชาวกาฬสินธุ์ จึงมาร่วมลงชื่อเพื่อปกป้องท่าน และต้องการให้มหาเถรสมาคมแก้ไขในสิ่งที่ถูกต้องต่อไป

ด้านนายประจวบ ภูเกิดพิมพ์ อายุ 73 ปี ชาว จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ตนเป็นศิษยานุศิษย์พระเทพสารเมธี มาประมาณ 30 ปี ตั้งแต่ท่านดำรงตำแหน่งพระเลขาฯเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ (ธ) ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กระทั่งปัจจุบันที่ท่านดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ (ธ) ตนและญาติโยมวัดประชา รวมทั้งประชาชนชาวกาฬสินธุ์ และชาวพุทธทั่วไป ที่ได้มีโอกาสมากราบท่าน ต่างประจักษ์ในจริยวัตรอันงดงามของท่าน ว่าไม่มีส่วนใดบกพร่อง ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวในหมู่คณะสงฆ์ ส่งการปฏิบัติธรรมของอุบาสกอุบาสิกาตลอดปี ส่งเสริมการศึกษาโดยตั้งโรงเรียนปริยัติธรรม สนับสนุนการก่อตั้งมหาวิทยาลัย มมร.กาฬสินธุ์ ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งทำให้ชาวพุทธ ญาติโยมทั้งหลายเกิดความเศร้าสะเทือนใจ จึงได้ร่วมกันลงชื่อเพื่อถวายฎีกาในครั้งนี้ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้ชาวพุทธกาฬสินธุ์ขอคัดค้านการถอนถอนดังกล่าว

ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวโทรศัพท์สอบถาม ดร.นิยม เวชกามา ส.ส.พรรคเพื่อไทย จ.สกลนคร ก็ได้รับคำตอบว่า ขณะนี้กำลังรวบรวมเอกสารหลักฐานการประชุม และคำสั่งปลดที่ไม่เป็นธรรมเพื่อตั้งกระทู้สดในสภา เพื่อถามฝ่ายการเมืองที่รับผิดชอบสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ เกี่ยวกับปัญหานี้ พร้อมได้แสดงเอกสารที่ได้มาพบว่า การประชุมครั้งนั้นเป็นระบบซูม และไม่มีในวาระการประชุมแต่เป็นการสอดไส้พิจารณาเพื่อทราบเท่านั้น

ดร.นิยม กล่าวต่อว่า ขณะนี้ได้รวบรวมเอกสารหลักฐานเพื่อเตรียมตั้งกระทู้สดถามในสภาเอาไว้แล้ว จากการพิจารณาในฐานะที่อยู่ในวงการสงฆ์มาตลอด มติคำสั่งปลดของ มหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ 30 ก.ย.64 ถือว่าไม่สมบูรณ์ ไม่ถูกต้อง ว่าด้วยกฎมหาเถรสมาคมฉบับที่ 24 (2541) หมวด 4 ส่วนที่ 1 การละเมิดจริยา ข้อ 55 การถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่นั้น จะทำได้ต่อเมื่อพระสังฆาธิการละเมิดจริยา อย่างร้ายแรงข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้ 1.ทุจริตต่อหน้าที่ 2.ละทิ้งหน้าที่โดยไม่มีเหตุอันสมควรเกิดกว่า 30 วัน 3.ขัดคำสั่งอันชอบด้วยการคณะสงฆ์และการขัดคำสั่งเป็นให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่คณะสงฆ์ 4.ประมาทเลินเล่อ อันเป็นเหตุความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่คณะสงฆ์ และ 5. ประชั่วอย่างร้ายแรง ซึ่งบัญญัติว่า ในกรณีเช่นนี้ให้ผู้บังคับบัญชาใกล้ชิดรายงานโดยลำดับจึงถึงผู้มีอำนาจแต่งตั้งเมื่อได้สอบสวนได้ความจริงตามรายงานแล้วให้ผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่ได้

“ในกรณีคำสั่งปลด เมื่อวันที่ 30 ก.ย.64 ยังเป็นการประชุมในระบบซูม ในวาระการประชุมก็ไม่มีเรื่องการพิจารณาให้ปลดสามพระสังฆาธิการ แต่มีพระผู้มากบารมี นำเอกสารปลด ให้คณะ มส.พิจารณา เพื่อทราบ และทราบว่า มีการทักท้วงจากคณะกรรมการมหาเถรสมาคมหลายรูป เพราะสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งในคณะสงฆ์ไทยแต่ในที่ประชุมก็ปล่อยให้ผ่านไป ด้วยการรับทราบ ตนเห็นว่าพฤติกรรมนี้ขัดต่อหลักอธิกรณ์ ที่เป็นเรื่องคดีความในทางสงฆ์ เพราะการปลดพระระดับสังฆาธิการจะต้องมีการสอบสวนตรวจสอบ แต่เมื่อไม่มีคำอธิบายใด จึงถือเป็นการทำลายความเชื่อศรัทธาของประชาชนที่มีต่อพุทธศาสนา” ดร.นิยม กล่าว

ดร.นิยม กล่าวต่อว่า ตนได้รับการประสานจากพุทธศาสนิกชนคนกาฬสินธุ์และในหลายจังหวัดทางภาคอีสานที่เคลื่อนไหวในกรณีนี้ และได้ทราบข่าวจากคณะสังฆาธิการกาฬสินธุ์ ว่าจะเดินทางเข้าสำนักพระราชวัง และวัดราชบพิตรอย่างแน่นอน ในครั้งแรกคณะสงฆ์จะเข้ามาในวันนี้ (4 ต.ค.) แต่เห็นว่าเดินทางไกลและมีปัญหาโควิด จึงจะรอเดินทางมาพร้อมพี่น้องประชาชนกาฬสินธุ์ โดยให้รายชื่อครบหนึ่งแสนเพื่อถวายฎีกาก่อน คาดว่าจะแล้วเสร็จในเร็วๆนี้ จึงขอให้ มส.เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาที่จะบานปลายต่อความเสื่อมศรัทธาในทางปกครองของคณะสงฆ์ ในส่วนของตนก็จะพิสูจน์หาความจริงว่าใครเป็นผู้สอดไส้คำสั่งปลดนี้เพื่อนำไปอภิปรายในสภาในประชาชนชาวพุทธได้รับทราบโดยทั่วกัน

ขณะที่มีรายงานความเคลื่อนไหวของคณะสังฆาธิการจังหวัดกาฬสินธุ์ ทราบว่า วันนี้ยังมีการประชุมสังฆาธิการอยู่ที่วัดภูปูนในฝัน อำเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ (ธ) แหล่งข่าวระบุว่า ความเคลื่อนไหวไม่เหมือนกับ 3 วันที่ผ่านมา บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึมครึม เคร่งเครียด เนื่องจากมีผู้อ้างว่าเป็นพระชั้นผู้ใหญ่โทรศัพท์มาพูดคุยให้หยุดความเคลื่อนไหว