เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. เวลา 10.00 น. ที่พรรคกล้า ถนนรัชดาภิเษก นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า แถลงข่าวเกี่ยวกับตัวเลขวิกฤติพลังงาน-ราคาน้ำมัน ว่าปัญหาที่เราพูดถึงเป็นเรื่องใหญ่และมีผลกระทบต่อปากท้องประชาชนมาโดยตลอด คือราคาน้ำมันสูงขึ้น แม้จะอธิบายได้ระดับหนึ่งว่าเกิดจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้กระทบราคาน้ำมัน และตลอดช่วงที่ผ่านมารัฐบาลมีการชดเชยราคาน้ำมันหน้าปั๊มอย่างต่อเนื่อง มีการปรับลดภาษีสรรพสามิตลงมาเกือบ 0 บาท ทำให้ราคาน้ำมันหน้าปั๊มในไทยต่ำกว่าชาติอาเซียนด้วยกัน แต่มาตรการนี้ทำให้เกิดภาระหนี้ของกองทุนน้ำมัน ณ วันนี้อยู่ที่ 8.6 หมื่นล้านบาท แทบจะเรียกได้ว่าสูงที่สุดในประวัติการณ์ และภายในสิ้นเดือนนี้ถ้าไม่มีการปรับเปลี่ยนนโยบาย หนี้จะทะลุ 1 แสนล้านบาทแน่นอน เพราะการที่กองทุนน้ำมันชดเชยราคาน้ำมันอยู่ทำให้มีเงินไหลออกจากกองทุนน้ำมันและเพิ่มหนี้ 2 หมื่นล้านบาททุกเดือน

ปัญหาคือกองทุนน้ำมันไม่ได้มีสถานะที่มีรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกัน แต่กองทุนน้ำมันต้องวิ่งกู้เงินจากสถาบันการเงินทั่วไป วันนี้กองทันน้ำมันรายได้ไม่มี หนี้บาน ไม่สามารถกู้เงินได้อีก ดังนั้นจึงเป็นคำถามว่าการชดเชยเพื่อให้ราคาหน้าปั๊มถูกลงสำหรับคนไทยในอนาคตจะดำเนินการต่อได้หรือไม่หากกองทุนน้ำมันไม่สามรถกู้เงินได้เพิ่มเติม ทั้งนี้เดิมกฎหมายกองทุนน้ำมันกำหนดเพดานหนี้ของกองทุนฯไว้ที่ 2 หมื่นล้านบาท แต่รัฐบาลนี้มีการปลดเพดานดังกล่าวเมื่อต้นปีที่ผ่านมา จนทำให้ภาระหนี้กองทุนน้ำมันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วใกล้ทะลุ 1 แสนล้านบาท สุดท้ายแล้วคนที่ต้องมาชำระหนี้นี้คือประชาชนโดยตรง ที่จะเกิดจากค่าต๋งที่กองทุนน้ำมันจะเก็บจากประชาชนในอนาคต

นายกรณ์ กล่าวอีกว่าเ รื่องที่เสมือนว่าคนไทยกำลังถูกปล้น คือเรื่องค่าการกลั่น ซึ่งประเทศไทยมีโรงกลั่นน้ำมัน 6 โรง ส่วนใหญ่เป็นของ ปตท. โดยค่าการกลั่นเมื่อวันที่ 10 มิ.ย.63 อยู่ที่ 0.88 บาท วันที่ 10 มิ.ย.64 ค่าการกลั่นอยู่ที่ 0.87 บาท แต่วันที่ 10 มิ.ย.65 ค่าการกลั่นอยู่ที่ 8.56 บาท เพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่า ซึ่งค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้นคือภาระของประชาชน ภาระการชดเชยของกองทุนน้ำมัน และไม่มีคำอธิบายว่าทำไมรัฐบาลถึงปล่อยให้มีการฟันกำไรในระดับสูงมากในช่วงที่ประชาชนและประเทศชิตกำลังเดือดร้อนอยู่ ทั้งนี้โรงกลั่นในไทย 70 % ของกำลังการกลั่นในไทย อยู่ในมือบริษัทในเครือ ปตท. ที่มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ แต่รัฐบาลไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงในเรื่องนี้หรืออย่างไร เพื่อให้ค้ากำไรในระดับที่มีความเป็นธรรม กลับปล่อยให้ปรับฐานกำไรขึ้นเกือบ 10 เท่า ในช่วงที่ทุกคนเดือดร้อน

นายกรณ์ยังกล่าวอีกว่า เรามีข้อเสนอ 3 ข้อ คือ 1.ควรที่จะกำหนดเพดานการกลั่น โดยเฉพาะโรงกลั่นของ ปตท.ที่เป็นรัฐวิสาหกิจ ต้นทุนการกลั่นเท่าไหร่ ควรมีผลตอบแทนเท่าไหร่เอามาว่ากัน แล้วกำหนดเพดานและพื้นที่เหมาะสม เพื่อเป็นเครื่องมือป้องกันไม่ให้มีการทำกำไรเกินควรเหมือนในปัจจุบัน 2.เสนอให้มีการเก็บภาษีลาภลอย (Windfall tax) เราถือว่ากำไรที่เกิดขึ้นเป็นกำไรที่เป็นลาภลอยให้กับผู้ประกอบการ ไม่ได้เกิดจากการสร้างนวัตกรรมอะไรเพียงเพราะราคาน้ำมันในตลาดสิงคโปร์มีราคาสูงขึ้น ทำให้ได้กำไรจากส่วนต่าง การเก็บภาษีลาภลอยจึงเป็นการช่วยเอาทกำไรที่ได้กำไรเกินควรกลับมาช่วยชำระหนี้กองทุนน้ำมัน ซึ่งเราไม่รอให้รัฐบาลทำเรื่องนี้ แต่เราได้ร่างกฎหมายฉบับนี้ขึ้นมาแล้ว รอเข้าชื่อเสนอกฎหมายต่อรัฐบาลและรัฐสภาต่อไป

3. ถึงเวลาที่รัฐบาลจะต้องจริงจังกับมาตรการประหยัดการใช้พลังงาน เพราะช่วง 4 เดือนแรกปี 65 คนไทยใช้น้ำมั่นเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะดีเซลโดยรวมทุกประเภท 15% ดังนั้นรัฐควรพูดความจริงว่าคนไทยทุกคนต้องให้ความร่วมมือในการประหยัดพลังงานอย่างจริงจัง โดยเริ่มต้นง่ายๆคือการปรับระดับอุณหภูมิในห้องประชุมสภา ห้องประชุม ครม. เพื่อประหยัดพลังงาน หรือมาตรการชดเชยที่ควรชดเชยในส่วนที่ชัดเจน ให้ผู้เดือดร้อนจริง ไม่ใช่ชดเชยแบบเหวี่ยงแห ดังนั้นการกำหนดมาตรการประหยัดและชัดเจนเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องทำ

ทางด้าน นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า กล่าวเสริมว่าการจัดเก็บภาษีลาภลอยไม่ใช่แค่ประเทศไทยคิด เพราะอังกฤษมีการคิดภาษีลาภลอยปิโตรเลียมแล้ว ดังนั้นเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้ ซึ่งภาษีลาภลอยเป็นหลักสากล ไม่ใช่การไปขยับต้นทุน ขณะนี้ได้เตรียมร่างกฎหมายเกี่ยวกับภาษีลาภลอยจากการปิโตรเลียมเรื่องค่าการกลั่น จะต้องรวบรวมรายชื่อประชาชนให้ครบ 10,000 รายชื่อ ซึ่งกลัวจะช้าไปแล้วหนี้กองทุนน้ำมันทะลุ 1 แสนล้านบาทไปแล้ว ดังนั้นขอให้ ครม.นำร่าง พ.ร.บ.ลาภลอยในกรณีอสังหาริมทรัพย์มาปรับใช้กับกรณีนี้ ก็จะทำให้เร็วขึ้น แต่ทางพรรคกล้ายืนยันว่าจะเดินหน้ารวบรวมรายชื่อประชาชน 10,000 คนเพื่อนำเสนอในแนวทางของประชาชนต่อไป ส่วนการกำหนดเพดานค่าการกลั่น กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ ต้องลงไปดูเรื่องนี้ ซึ่งสามารถกำหนดเพดานแค่ที่ขายในประเทศก็ได้ ส่วนที่ส่งออกก็ปล่อยไปตามกลไกการตลาดได้.

////