เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ในฐานะหัวหน้าชุด ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่ 5 นำกำลังเข้าตรวจค้นห้องพักเลขที่ 188/130 คอนโดน็อตติ้งฮิลล์ ถนนแพรกษา ต.ท้ายบ้านใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ตามหมายค้นศาลจังหวัดสมุทรปราการที่ 762/2565 ลงวันที่ 4 ธ.ค. 65 จับกุม นายสุพรพงษ์ อายุ 31 ปี ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับศาลจังหวัดสุพรรณบุรี ที่ จ.236/2565 ลงวันที่ 4 ธ.ค. 65 โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น” และจับกุม นางสาวทิพวรรณ หรือ แหม่ม น.ส.สิริธร หรือ แสตมป์ และ น.ส.คณิณัช หรือ แฟง พร้อมตรวจยึดคอมพิวเตอร์ออลอินวัน 3 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 9 เครื่อง สมุดบัญชี 5 เล่ม และซิมการ์ดโทรศัพท์ 38 ซิม

สืบเนื่องจากชุดสืบสวนของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ได้วิเคราะห์ข้อมูลพบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ “กลุ่มใหม่” เกิดขึ้นในข้อมูลระบบการรับแจ้งความออนไลน์ ซึ่งมีรูปแบบการหลอกลวงให้หลงรักก่อน จากนั้นจะชักชวนให้ “ลงทุนและทำภารกิจ” ภายใต้บริษัทปลอมที่ชื่อว่า E-SHIPING.SHOP จึงได้สั่งการให้สืบสวนจนทราบว่า แก๊งดังกล่าวมีออฟฟิศตั้งอยู่ที่ห้องพักของคอนโดมิเนียมดังกล่าว ซึ่งปกติออฟฟิศของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่หลอกลวงคนไทยจะอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ไม่มีการตั้งอยู่ในประเทศไทยมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว จึงนำกำลังจับกุม จากการตรวจค้นพบ นายสุพรพงษ์ นางสาวทิพวรรณ น.ส.สิริธร และ น.ส.คณิณัช ทั้ง 4 คน อาศัยอยู่ภายในห้องพัก และตรวจค้นพบของกลางดังกล่าว

จากการตรวจสอบข้อมูลทั้งในโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ทำให้ทราบว่าทั้ง 4 คน ได้ร่วมกันหลอกลวงโดยมีแผนประทุษกรรมคือ จะสร้างเฟซบุ๊กปลอม (อวตาร) โดยใช้ภาพโปรไฟล์เป็นสาวสวยแล้วชักชวนเพื่อนในเฟซบุ๊ก กล่าวคือเป็นการพูดคุยเชิงชู้สาว เพื่อชักชวนมาลงทุน โดยเมื่อเหยื่อสนใจ จะเชิญเข้า “กลุ่มไลน์” โดยอ้างว่าเป็นบริษัทที่ชื่อว่า E-SHIPING.SHOP ซึ่งแท้จริงเป็นบริษัทที่ไม่มีอยู่จริง จากนั้นจะให้คุยกับ อ.กอล์ฟ ซึ่งเป็นตัวตนปลอมที่อุปโลกน์ตนเองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน หลอกเสนอขายแผนโปรแกรมหลายๆ แบบ เช่น การท่องเที่ยว การแต่งงานแล้วหลอกให้โอนเงินร่วมลงทุนตามแผนงานต่างๆ เหมือนเป็นการหลอกให้ทำภารกิจ โดยอ้างว่าเมื่อเหยื่อโอนเงินมาแล้วทำภารกิจเสร็จ จะได้เงินคืนในจำนวนมากกว่าเดิม โดยภายในกลุ่มไลน์ดังกล่าวจะมีเหยื่ออยู่ในกลุ่มเพียงคนเดียว ที่เหลือจะเป็นหน้าม้าทั้งหมด โดยจะมีการให้หน้าม้าแสร้งส่งภาพสลิปการโอนเงินทำทีว่าได้รับเงินจริง แต่แท้จริงเป็นสลิปการโอนเงินปลอม

เมื่อเหยื่อเห็นว่าคนในกลุ่มได้รับเงินโอนจริง จะเกิดความโลภและยอมโอนเงินลงทุนในที่สุด เมื่อเหยื่อโอนเงินแล้วจะทำทีแสดงข้อมูลในโปรแกรมโชว์ยอดรายได้ให้เหยื่อเห็น แต่เหยื่อต้องการถอนเงินก็จะไม่สามารถถอนได้ โดยจะอ้างว่าเหยื่อทำผิดวิธี และจะชักชวนให้ลงทุนเพิ่มไปเรื่อยๆ โดยรูปแบบการวางระบบของแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มนี้เป็นรูปแบบเดียวกับหลายๆ แก๊ง ที่ตั้งออฟฟิศอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน แต่กลุ่มนี้สามารถรวบรัดระบบต่างๆ ไว้ในห้องๆ เดียวด้วยคอมพิวเตอร์เพียง 3 เครื่อง และใช้คนจัดการเพียง 4 คน ซึ่งมีทั้งการทำระบบหลังบ้าน, ระบบการแบ่งห้องไลน์สนทนา, ระบบแถว 1 ที่ชักชวนเหยื่อ, การปลอมสลิปด้วยเทมเพลตในโปรแกรม Photoshop และอีกหลายขั้นตอน ซึ่งบ่งบอกถึงประสบการณ์และความเข้าใจในการทำแก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นอย่างดี

สอบสวน น.ส.คณิณัช ให้การว่า ตนเคยเป็นพนักงานในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศกัมพูชา ทำจนมีความชำนาญมาก มีความรู้ระดับอาจารย์ แต่ละเดือนตอนอยู่กัมพูชา สามารถทำยอดเงินได้เดือนละเป็น 100 ล้านบาท ยอมรับว่าตัวเองคนเดียวสามารถทำงานได้เหมือนคน 6 คน ในเวลาเดียวกัน ต่อมาเมื่อทำไปเรื่อย ๆ ก็เกิดความรู้สึกว่า ทำไมจะไปทำเพื่อรับเปอร์เซ็นต์จากบอสชาวจีนแค่ 3% จึงเกิดความโลภ คิดอยากทำเองเพื่อจะได้รับเงินเต็มๆ โดยระหว่างทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา ได้แอบเก็บข้อมูล รูปแบบ สคริปต์ต่างๆ ของชาวจีน และเลือกรูปแบบที่คิดว่าสมบูรณ์แบบเก็บติดตัวไว้ และได้เดินทางกลับมายังประเทศไทย เมื่อประมาณเดือน ก.ย. 65

น.ส.คณิณัช ให้การอีกว่า จากนั้นได้เริ่มทำในประเทศไทย โดยจ้างให้โปรแกรมเมอร์คนไทยที่อยู่ในกัมพูชา เขียนโปรแกรมให้ในราคา 60,000 บาท ก่อนจะร่วมกับพวกที่อยู่ในห้องอีก 3 คน ทำด้วยกัน โดยส่วนแบ่งรายได้ที่ได้จากการหลอกลวง ตนจะได้ 30%, นายสุพรพงษ์ได้ 30% น.ส.สิริธรได้ 20% และ น.ส.ทิพวรรณได้ 20% อย่างไรก็ตาม หวังว่าจะเป็นผู้ก่อตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของคนไทยเจ้าแรก และจะเป็น Start Up เพื่อขยายกิจการในประเทศไทย แต่ทำได้เพียง 2 เดือน ก็มาถูกจับเสียก่อน

พล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มนี้มีความน่ากลัว เพราะทั้ง 4 คน ถือเป็นต้นเชื้อ เป็นระดับหัวกะทิ ที่นำความรู้ความสามารถจากการเป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ที่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้านกลับมาตั้งต้นทำในประเทศไทย ซึ่งเราจะมีการขยายผลต่อไปจนถึงที่สุด อย่างไรก็ตาม ชุดสืบสวนอยู่ระหว่างติดตามผู้เสียหาย โดยจะมีการแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับทั้งหมด ตามกฎหมายในเรื่องการฉ้อโกงประชาชนต่อไป