เมื่อวันที่ 15 ม.ค. พ.ต.ท.วสุ น้อยเจริญ สว.(สอบสวน)สน.ท่าข้าม รับแจ้งเหตุยิงกันมีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บหลายราย ภายในร้านคาราโอเกะแห่งหนึ่งบริเวณ ปากซอยท่าข้าม 28/2 แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วย พล.ต.ต.พงศ์อานันต์ คล้ายคลึง ผบก.น.9 พ.ต.อ.เลิศศักดิ์ เขียมทรัพย์ ผกก.สน.ท่าข้าม พ.ต.ท.ทศพร กลีบแก้ว สว.สส.สน.ท่าข้าม ฝ่ายสืบสวน กก.สส.บกน.9 เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน แพทย์นิติเวช โรงพยาบาลศิริราช และอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู

ที่เกิดเหตุเป็นตึกแถว 4 ชั้น 1 คูหา กลางร้านบนโซฟาคาราโอเกะ พบร่างหญิงสาว อายุ 22 ปี สัญชาติลาว สภาพหมดสติ มีบาดแผลถูกยิงด้วยกระสุนปืนขนาด 9 มม.เข้าใต้ราวนมขวา 1 นัด และแขนขวา 1 นัด อาการสาหัส บนพื้นยังพบร่าง หญิงสาวสัญชาติลาว อีกคน อายุ 31 ปี สภาพนอนจมกองเลือดร้องครวญครางขอความช่วยเหลือ มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาดเดียวกันบริเวณน่องซ้าย 2 นัด เจ้าหน้าที่เร่งช่วยเหลือนำตัวส่งโรงพยาบาลนครธน เป็นการด่วน ส่วนข้างโซฟา พบศพ นายเอ (นามสมมุติ) อายุ 32 ปี สภาพนั่งพิง มีบาดแผลถูกยิงเข้าที่ขมับซ้าย 1 นัด ข้างตัวพบปืนขนาด 9 มม.ตกอยู่ 1 กระบอก และปลอกกระสุนขนาดเดียวกัน อีก 4 ปลอก จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน

บริเวณหน้าร้านยังพบภรรยาผู้ตายยืนอุ้มลูกสาววัย 2 ขวบร้องไห้ดูศพอยู่ เจ้าหน้าที่ต้องปลอบประโลมจนสงบสติอารมณ์ สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า อยู่กินกับผู้ตายมา 6 ปี มีลูกสาว 1 คน โดยผู้ตายทำงานบริษัท เกี่ยวกับปุ๋ยและสารเคมี ย่านมหาชัย และยังเป็นอาสาสมัครมูลนิธิแห่งหนึ่งในพื้นที่ธนบุรี กระทั่งเมื่อประมาณ 4 เดือน ตนมารู้เรื่องสามีแอบคบกับสาวคาราโอเกะที่เกิดเหตุ โดยพบการคุยทางไลน์ ตอนนั้นทะเลาะกันหนักมาก จนทนไม่ไหวตนโทรไปหาผู้หญิงบอกให้เลิกยุ่งกับสามีตน เพราะจะทำให้ครอบครัวตนแตกแยก และผู้ตายก็รับปากว่าจะไม่ยุ่งกับผู้หญิงคนนี้อีกแล้วก็หายไปราวเดือนเศษ

ภรรยาผู้ตาย ให้การอีกว่า กระทั่งระยะหลังสามีเริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้ง จึงถามเรื่องเก่าจนบอกว่าถ้าไม่เชื่อใจ วันนี้จะไปคุยให้รู้เรื่องเพื่อความสบายใจของตน ซึ่งทราบว่าสามีเป็นคนชอบพกปืน แต่ไม่รู้ว่าวันนี้จะเอามาด้วย ถ้ารู้คงโทรศัพท์บอกให้ผู้หญิงคนนั้นหนีไปก่อนแล้ว ก่อนเกิดเหตุมาถึงหน้าร้าน สามีบอกว่าจะขอเข้าไปในร้านเพียงคนเดียว ให้ตนกับลูกรออยู่ในรถ หลังจากเข้าไปเพียงครู่เดียว ตนรู้สึกไม่สบายใจลงจากรถจะเข้าไปในร้าน อยู่ๆก็ได้ยินเสียงปืนดังออกมาจากร้านหลายนัด พร้อมกับมีพนักงานวิ่งหนีกันออกมา แต่ไม่คิดว่าสามีจะเป็นคนก่อเหตุ

สอบถามพนักงานต้อนรับของร้าน ให้การตรงกันว่า ผู้บาดเจ็บทั้งสองเป็นน้าหลานกัน เคยทำงานที่ร้านแล้วย้ายไปทำร้านอื่น และได้รู้จักผู้ตายเมื่อประมาณ 4 เดือนที่ผ่านมา แล้วมีปัญหามาบ่นให้ฟังว่าอยากเลิกยุ่งเกี่ยวกับผู้ตาย แต่ผู้ตายไม่ยอมเลิก จนฝ่ายหญิงต้องหนีกลับไปประเทศลาว ได้ประมาณเดือนเศษ เพิ่งกลับมาทำงานที่ร้านเกิดเหตุได้เพียง 5 วัน และเห็นว่าผู้ตายมักขับรถมาเฝ้าสังเกตุการณ์ทุกวัน กระทั่งก่อนเกิดเหตุวันนี้ ขณะที่ผู้บาดเจ็บทั้งสองกำลังนั่งกินข้าวกันที่โต๊ะในร้าน ผู้ตายเดินเข้ามาพูดจาหาเรื่องฝ่ายหญิงก่อนชักปืนกระหน่ำยิงทั้งสองบาดเจ็บ ก่อนจ่อหัวยิงตัวเองตายหนีผิดดังกล่าว

อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบหลักฐานกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุพร้อมสอบสวนพยานเพิ่มเติมอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป