ทำงานมา 10 กว่าปี ทำมาหลายอาชีพมาก รายได้แต่ละอาชีพก็ไม่ได้มาก อาศัยขยันเก็บ จนออมเงินได้ก้อนหนึ่ง ก็เลยเอาเงินก้อนนี้ทั้งหมดมาลงทุนเปิดร้านเช่าชุด แต่ยังไม่ทันเปิด โควิดก็มาเสียก่อน เงินก็หมด รายได้ก็ไม่มีอยู่กว่า 3 เดือน ก็เลยตัดสินใจมาขายไก่ทอด“ เสียงจาก “จุ๊บ-อริยกร จุ้ยเสงี่ยม” บอกเล่าถึงเรื่องราวก่อนที่เธอคนนี้จะโด่งดังในโลกโซเชียล กับภาพ “นางยักษ์ทอดไก่” ที่สะดุดตาผู้พบเห็น ซึ่งก่อนที่จะกลายมาเป็นคนดังในวันนี้ เส้นทางชีวิตของเธอก็มี “ครบรส” ที่วันนี้ “ทีมวิถีชีวิต” จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับเธอคนนี้กันให้มากขึ้น….

“เดิมชื่อ สุภกิจ แต่เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น อริยกร เพราะคุณแม่พาไปทำบุญกับหลวงพ่อที่ท่านนับถือ ซึ่งตอนนั้นเราแต่งตัวเป็น นางยักษ์ แล้ว แต่ชื่อร้านยังเป็น ไก่ทอดลิเก อยู่ ทีนี้หลวงพ่อท่านก็ทักว่า ชะตาชีวิตเรานั้นถ้ามีเงินทองก็จะเสียเงินไปให้กับผู้ชายหมด แถมท่านยังบอกอีกว่า ถ้ามีเงินให้ซื้อทองเก็บไว้ แต่ห้ามใส่นะ ท่านย้ำว่าห้ามทำตัวให้ดูแพง ห้ามทำตัวรวย เราก็เลยถือโอกาสนี้เปลี่ยนชื่อจากไก่ทอดลิเกมาเป็น ไก่ทอดนางยักษ์ ไปพร้อมกันเลย”

“จุ๊บ-อริยกร” แม่ค้าไก่ทอดคนดังบอกเรื่องนี้ให้ “ทีมวิถีชีวิต” ฟัง พร้อมเล่าประวัติตัวเองให้ฟังว่า ปัจจุบันอายุ 36 ปี และเป็นเจ้าของร้านไก่ทอดชื่อ “ไก่ทอดนางยักษ์” โดยจุดเริ่มต้นก่อนที่จะมาขายไก่ทอดนั้น เธอเล่าย้อนว่า เรียนจบปริญญาตรีครุศาสตร์ สาขาครูปฐมวัย มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี โดยบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้กับพุทธมณฑล ย่านบางแค ซึ่งก่อนที่จะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เธอมีอาชีพ เล่นดนตรีไทย วงปี่พาทย์ ที่จะไปเล่นตามงานศพ อีกทั้งกลางคืนเธอยังมีอีกอาชีพคือเป็น นักแสดงคาบาเรต์ และ แสดงตลก นอกจากนี้ยังรับงาน ดาวเต้นหน้ารถแห่ รวมถึง แสดงเปิดหมวก ตามงานวัดด้วย

“เราต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย เนื่อง จากครอบครัวยากจน โดยคุณแม่เป็นแม่บ้าน ส่วนคุณพ่อมีอาชีพขับรถซาเล้ง ซึ่งทั้งครอบครัวเรามีพี่น้อง 2 คน มีพี่ชาย แต่เสียชีวิตไปแล้ว ก็เหลือเราแค่คนเดียวที่ช่วยดูแลที่บ้าน” จุ๊บ บอกเล่า

ด้วยความสามารถในการเล่นดนตรีไทยของเธอ ทำให้เธอมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในย่านบางแค จนมีอาจารย์โรงเรียนมาทาบทามให้ไปเป็นอาจารย์สอนดนตรีไทยและนาฏศิลป์ แต่ด้วยเหตุที่เธอยังไม่มีวุฒิการศึกษาใดเป็นใบรับรอง เธอจึงไปยื่นเรื่องขอใบรับรองจากเขตบางแค และหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อขอรับคัดเลือกเป็น “ครูภูมิปัญญาท้องถิ่น” จนที่สุดก็ได้รับเลือก และได้รับโล่พระราชทาน ได้เป็น ครูสอนดนตรีไทยกับนาฏศิลป์ โดยเธอสอนอยู่นานถึง  5 ปี ซึ่งขณะที่สอนก็เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยไปพร้อมกันด้วย และช่วงที่ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยนั้น เธอก็เก็บเงินจากน้ำพักน้ำแรงตนเองได้ก้อนหนึ่ง จึงตัดสินใจจะนำเงินก้อนนี้มาลงทุนเปิดร้านเช่าชุด และทำวงดนตรีไทย ซึ่งก็มีทีท่าว่าจะไปได้ดี จนเมื่อมามีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เกิดขึ้น ทุกอย่างที่กำลังจะไปได้สวยก็ต้องมาสะดุดหยุดลง

“ช่วงก่อนนั้นเรียกว่าดวงรุ่งสุด ๆ ตอนนั้นเรามีรายได้ต่อเดือน 6-7 หมื่นบาท เพราะมีรายได้เข้ามาไม่ขาดสาย เช่น เวลามีงานกีฬาสี พวกครูกับนักเรียนก็จะแห่มาเช่าชุดกับเรา หรือคนทำงานโรงงาน ก็เป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ของเราอีกกลุ่ม ที่มักจะมาขอเช่าชุดกับเราเพื่อไปงานเลี้ยง นอกจากนั้นเราก็ยังมีรายได้จากการ รับแต่งหน้า ซึ่งวิชาแต่งหน้านี้เราเรียนจากยูทูบ และถามจากเพื่อน ๆ จนเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง เราก็เลยคิดที่จะลงทุนเปิดร้านเช่าชุดแบบจริงจัง ซึ่งตอนแรกตั้งใจจะหุ้นกับเพื่อนไปเช่าตึกแถวเพื่อเปิดร้าน แต่ก็มีเพื่อนที่เป็นอาจารย์ ซึ่งเป็น สาวประเภทสอง เหมือนกับเรา ทักว่าอย่าเปิดร้านนอกบ้าน ให้เปิดที่บ้านจะดีกว่า และห้ามไม่ให้หุ้นทำธุรกิจกับคนอื่น เพราะจะไปไม่รุ่ง เราก็ออกแนวดื้อ ๆ หน่อย แต่ก็ฟังนะ สรุปก็เลือกว่าจะเปิดร้านที่บ้าน แต่ก็ยังหุ้นกับเพื่อนอยู่ ซึ่งสุดท้ายก็จริงอย่างที่เพื่อนซึ่งเป็นอาจารย์บอก เพราะยังไม่ทันได้เปิดร้าน โควิดก็มาเสียก่อน เรียกว่าตอนนั้นไม่มีเงินติดตัวเลย เพราะเอาเงินเก็บทั้งหมดไปลงทุนทำร้านหมดแล้ว” จุ๊บเล่าเรื่องนี้ด้วยเสียงสั่นเครือ

พร้อมกับเล่าถึงชีวิตเธอตอนนั้นให้ฟังอีกว่า ช่วงโควิด-19 เริ่มระบาดตอนนั้นชีวิตเธอย่ำแย่มาก ซึ่งก่อนมีโควิดระบาดเธอเป็นคนที่หาเงินเก่งมาก เรียกว่ามีเงินเข้ามาในมือให้หมุนให้ใช้จ่ายไม่ขัดสน แต่พอโควิดมา ทุกอย่างก็พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ เงินที่เคยมีสม่ำเสมอก็ค่อย ๆ ร่อยหรอ จนหมดลง อีกทั้งงานที่เคยมีตารางแน่นเอี้ยด ก็ค่อย ๆ ถูกลูกค้าแคนเซิลหรือยกเลิกไป จนทำให้ชีวิตตกต่ำสุด ๆ ถึงขนาดไม่มีเงินติดตัวเลยสักบาท แถมยังมีหนี้สินบัตรเครดิตที่รูดผ่อนรถผ่อนของอีก

“ด้วยความที่เราเป็นหลักหาเลี้ยงครอบครัว ต้องรับภาระจ่ายค่าน้ำไฟและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ก็ไม่รู้จะไปพึ่งใคร จะให้เราไปหยิบยืมใครก็ไม่ได้ เพราะติดคำว่าศักดิ์ศรีความเป็นครูนี่แหละ อีกอย่างก็อายด้วย เพราะจากที่เราเคยมั่งมี แต่จู่ ๆ ก็มาล้ม ตอนนั้นจำได้ว่าคุณแม่ กับพี่ ๆ ที่วงปี่พาทย์ ก็ชวนเราไปหาหน่วยงานที่เขาแจกเงินช่วยเหลือ และตระเวนรับของบริจาคมาประทังชีวิต ตอนโควิดระบาดหนัก ตอนนั้นอยู่ได้ด้วยตู้ปันสุข อยู่อย่างนั้นอยู่ 3 เดือน จนวันหนึ่งน้องสาวต่างแม่ซึ่งมีร้านไก่ทอดอยู่ที่ตลาดพุทธมณฑล สาย 1 เขาจะเลิกขาย เพราะโดนผลกระทบโควิด ซึ่งก่อนที่เขาจะคืนร้านให้กับตลาด เขาก็โทรฯ มาถามเราว่า อยากลองขายไก่ทอดดูไหม เผื่อจะมีเงินไว้ซื้อข้าวกิน เพราะมีฐานลูกค้าเก่าอยู่แล้ว เราก็เอ๊ะ!…ยังไง? ขนาดตัวเองยังขายไม่ได้เลย แล้วเราจะขายได้หรือ? อีกอย่างไม่เคยขายอาหารด้วย แต่ก็คิดว่า ถ้าจะอยู่ไปวัน ๆ คงไม่ได้ ต้องหาอะไรทำ ก็เลยตัดสินใจว่า เอาก็เอา สู้กันอีกสักตั้ง จึงเริ่มรับช่วงขายไก่ทอดต่อจากน้องสาวคนนี้”จุ๊บเล่าถึง “ที่มาร้านไก่ทอด”

อย่างไรก็ตาม แต่ทุกอย่างก็ยังย่ำแย่ โดยวันเปิดร้านวันแรก ปรากฏเธอขายไม่ได้เลย เพราะฝนตก จึงทำให้ไม่มีลูกค้า เธอเคยต้องนั่งร้องไห้กับสายฝน แต่ก็ไม่ยอมแพ้ พยายามฮึดสู้ โดยเธอเล่าว่าช่วงเปิดร้านใหม่ ๆ ขายได้กำไรแค่วันละ 200 บาทเท่านั้น ใช้ไก่แค่วันละ 8 กิโลกรัม ซึ่งน้องสาวเธอเป็นคนออกทุนและสอนสูตรให้ แต่ไม่ได้สอนเทคนิคการทอดไก่ ก็เรียนรู้ด้วยตัวเอง ผิดพลาดอะไรก็หาทางแก้ไขเอง ซึ่งเธออดทนอยู่เป็นเดือน ๆ ที่สุดก็ปรับสูตร เทคนิค ได้ลงตัว จนเริ่มเข้าที่ดีขึ้น

“แต่ตอนหลังก็มีปัญหาอีก ร่างกายที่โดนความร้อน มันทำให้หน้าไหม้ แขนไหม้ จนรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว ก็เลยลุกมาแต่งหน้าเลย จนคนในตลาดก็ร้องว้าว เพราะตอนไม่แต่งหน้าแต่งตัวเขาก็มองเราเป็นแค่ผู้ชายตัวอ้วน ๆ ตัวดำ ๆ (หัวเราะ) แต่พอเราลุกขึ้นมาเปลี่ยนลุค คนก็สนใจ เพราะคิดว่าใช่เราคนเดิมเหรอ ความจริงที่แต่งหน้าเพราะอยากให้แป้งหนา ๆ มากันความร้อนหน้ากระทะทอดไก่แค่นั้นเอง แต่ตอนหลังเราเห็นว่าคนว้าวกัน แถมยอดขายไก่ทอดของเราก็ขายได้เพิ่มขึ้น เราก็เลยจัดเต็ม (หัวเราะ) ด้วยการแต่งตัวเต็มที่ ติดขนตา หาดอกไม้มาเสียบ อีกอย่างเรามีชุดแฟนซีอยู่แล้วที่ติดมากับร้านเช่าชุด ก็เลยเอามาใส่ขายไก่ทอด ปรากฏลูกค้ายิ่งสนใจ แต่ตอนนั้นยังไม่ได้แต่งชุดนางยักษ์นะ จะเน้นชุดแฟนซีกับชุดลิเกเป็นหลัก”

ส่วนที่มาซึ่งทำให้ต้อง “แต่งตัวเป็นนางยักษ์” นั้น จุ๊บเล่าว่า จากสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะดีขึ้นตอนนั้น ก็มาสะดุดลงอีกครั้ง เมื่อเจอวิกฤติโควิด-19 ระบาดอีกหน ซึ่งครั้งนี้ก็ทำให้เธอจิตตกมาก เพราะไม่ว่าจะทำยังไงยอดขายก็ลดลง โดยตอนนั้นเธอได้ซื้อรถเข็นมือสองมาคันหนึ่ง เพราะตัดสินใจที่จะออกจากตลาดเดิมที่เคยขายอยู่ เพื่อมาขายที่หมู่บ้านเศรษฐกิจ ซึ่งพอย้ายมาขายที่ใหม่ ก็มีเพื่อนคนหนึ่งชื่อ ต๊อกแต๊ก ได้พายูทูบเบอร์มาถ่ายคลิปที่ร้าน ซึ่งยูทูบเบอร์และเพื่อนคนนี้ได้แนะนำว่า เธอตัวใหญ่ แต่งลิเกอาจไม่เกิด จึงบอกให้เธอลองแต่งเป็นนางยักษ์ ซึ่งตอนแรกที่ได้ยิน เธอยอมรับว่ารู้สึกไม่ชอบ เพราะเหมือนเอาปมด้อยมาประจาน จึงอ้างไปในตอนแรกว่า เป็นชุดโขน จะหนัก แต่งยาก อึดอัดด้วย แต่ที่สุดก็ยอมแต่งให้เพื่อนตามที่ขอ แล้วหลังจากนั้นไม่นานปรากฏว่ายอดขายพุ่งกระฉูด จนทำตามออร์เดอร์แทบไม่ทัน

’ตั้งแต่แต่งเป็นยักษ์ ขายดีมาก (หัวเราะ) ปกติร้านจะเปิด 6 โมงเช้า ขายไม่กี่ชั่วโมงก็หมด จนตอนนี้จ้างผู้ช่วย 4 คนมาช่วย แถมยังไปบุกเบิกสาขาใหม่ที่กรีนวิว ย่านพระราม 2 ด้วย สำหรับยอดขายตอนนี้ ขายได้วันละไม่ต่ำกว่า 100 กิโลกรัม เสาร์-อาทิตย์อาจขายได้ถึงวันละ 150 กิโลกรัม ส่วนจุดเด่นของไก่ทอดของที่ร้านนั้น จะไม่ใช้แป้งทอดเกล็ดขนมปัง และใช้แป้งที่เป็นสูตรของร้าน ซึ่งจะให้รสชาติเผ็ดเข้มข้นเหมือนทอดมัน“ เธอบอกเรื่องนี้

วันที่ได้คุยกันนั้น… “จุ๊บ-อริยกร” เจ้าของร้าน “ไก่ทอดนางยักษ์”  ยังได้บอกกับ “ทีมวิถีชีวิต” ด้วยว่า แต่งตัวแบบนี้มา ทอดไก่ แน่นอนว่าด้วยชุดที่หนัก กับหน้าเตาที่ร้อน จึงทรมานไม่ใช่เล่น แต่แม้จะร้อนก็ต้องทน เพราะเป็นจุดขายของร้าน ซึ่งก็มีคนชื่นชมชื่นชอบที่เธอลุกขึ้นมาแต่งตัวขายไก่ทอดแบบนี้ และแม้ว่าจะมีคนที่มองเธอด้วยสายตาเหยียดหยามดูถูก หรือมองเป็นตัวตลก เป็นตัวประหลาด แถมยังเคยถูกบูลลี่ด้วย แต่เธอก็ไม่เอามาใส่ใจ เพราะคิดว่า ’สายตาดูถูกของคนอื่น“ นั้น…

’ไม่ได้มีผลอะไรเลยกับชีวิตเรา“.