ดังนั้น กับ “เทศกาลส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่ 2566” การ “ตั้งการ์ดสูง” ตามแนวทางเดิม ก็ “ยังเป็นวิธีสู้ที่ควรต้องใช้” สำหรับเรา ๆ ท่าน ๆ …ทั้งนี้ ในช่วงเวลาที่แนวโน้มผู้ติดเชื้อโควิดในไทยมีทีท่ากลับมาพุ่งสูงอีกครั้ง ในไทยก็ได้มีการ “อัพเดทคู่มือวินิจฉัยและรักษาโควิด-19” โดย คณะกรรมการกำกับดูแลรักษาโควิด-19 ในชื่อ “แนวทางปฏิบัติ การวินิจฉัย ดูแลรักษา และป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ในโรงพยาบาล” ซึ่งเผยแพร่ไว้เมื่อ 30 พ.ย. ที่ผ่านมานี้เอง…

นี่เป็นคู่มือแพทย์-บุคลากรการแพทย์

ขณะที่ “ในมุมของข้อมูลก็น่าพิจารณา”

กับ “ประชาชนทั่วไป” นั้นก็ “รู้ไว้ใช่ว่า”

ทั้งนี้ สำหรับแนวทางปฏิบัติฉบับใหม่ที่คณะกรรมการกำกับดูแลรักษาโควิด-19 ได้มีการปรับปรุง หรือ “อัพเดทใหม่” เพื่อให้ใช้เป็น “คู่มือ-แนวทางปฏิบัติ” สำหรับแพทย์และบุคลากรสาธารณสุขนั้น ทาง “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” จะสะท้อนต่อข้อมูลในวันนี้ โดยจะนำเสนอโดยสังเขปเฉพาะ “บางประเด็น” ที่ก็ “น่ารู้สำหรับประชาชนทั่วไป” ที่มีทั้งที่เดิม ๆ และใหม่ ๆ ดังนี้…

เริ่มดูกันที่เรื่องของ จุดคัดกรอง ที่ได้มีการให้แนวทางปฏิบัติเอาไว้คือ… 1.ให้ผู้ป่วยใส่หน้ากากอนามัยพักรอในบริเวณที่จัดไว้ หรือให้รอฟังผลที่บ้าน และก็อาจรับไว้รักษาในโรงพยาบาล หรือให้รักษาอยู่ที่บ้านแบบผู้ป่วยนอก (Outpatient Self Isolation) โดยพิจารณาตามอาการของผู้ป่วย 2.พิจารณาตรวจทางห้องปฏิบัติการพื้นฐาน ตามความเหมาะสม 3.การเก็บตัวอย่างส่งตรวจหาเชื้อโดยวิธี ATK หรือ RT-PCR นั้น ให้ปฏิบัตตามคำแนะนำของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

ถัดมาดูกันที่หัวข้อ “ผลตรวจหาเชื้อ” ที่มีการกำหนดแนวทางปฏิบัติไว้คือ… กรณีตรวจพบเชื้อ ก็จะให้การรักษาแบบผู้ป่วยนอก หรือรับไว้ในโรงพยาบาล โดยพิจารณาตามอาการของผู้ป่วย กับคำนึงถึงหลักการป้องกันการแพร่เชื้อ ส่วน กรณีที่ตรวจไม่พบเชื้อ มีการกำหนดให้ปฏิบัติตามแนวทางต่าง ๆ ได้แก่… 1.พิจารณาดูแลรักษาตามความเหมาะสม 2.ให้ปฏิบัติตาม DMHT อย่างเคร่งครัด 5 วัน และให้ระมัดระวังการอาจแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น 3.ถ้ามีอาการรุนแรงให้พิจารณารับไว้ในโรงพยาบาลเพื่อตรวจวินิจฉัย และรักษาตามความเหมาะสม โดยปฏิบัติตาม droplet precautions ระหว่างรอผลการวินิจฉัยสุดท้าย 4.กรณีอาการไม่ดีขึ้นใน 48 ชั่วโมง ให้พิจารณาส่งตรวจ ATK ซ้ำ รวมทั้งตรวจสาเหตุอื่นตามความเหมาะสม

และกับ “กรณีผู้ป่วยสงสัย” ตามการเฝ้าระวังและสอบสวนโรค ให้พิจารณาจากผู้ที่มีอาการตามเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้คือ… 1.มีอาการอย่างน้อย 2 อาการ ดังนี้… ไข้ ไอ น้ำมูก คัดจมูก เจ็บคอ มีเสมหะ,ช 2.มีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งตามข้อ 1. ร่วมกับอาการถ่ายเหลว ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย อ่อนเพลีย มีผื่นขึ้น 3.มีอาการหอบเหนื่อย หายใจลำบาก มีความผิดปกติในการได้รับกลิ่นได้รับรส สับสน ความรู้สึกตัวลดลง, 4.มีอาการติดเชื้อทางเดินหายใจรุนแรง เช่น ปอดอักเสบ มีภาวะระบบทางเดินหายใจล้มเหลวเฉียบพลันรุนแรง 5.แพทย์สงสัยว่าติดเชื้อ 6.มีประวัติสัมผัสผู้ป่วยโควิด

“การรับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล”  มีแนวทางปฏิบัติ ได้แก่… 1.มีไข้ อุณหภูมิกายตั้งแต่ 39 องศาเซลเซียสขึ้นไป (วัดได้อย่างน้อย 2 ครั้งห่างกัน 4 ชั่วโมง ในเวลา 24 ชั่วโมง) 2.มีภาวะขาดออกซิเจน หรือวัดค่าออกซิเจนได้ต่ำกว่า 94% 3.มีภาวะแทรกซ้อน หรือการกำเริบของโรคประจำตัวเดิม 4.มีปัจจัยเสี่ยงต่ออาการรุนแรง และไม่มีผู้อยู่ดูแลตลอดทั้งวัน 5.มีภาวะอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลตามดุลพินิจของแพทย์ 6.ผู้ป่วยเด็ก ให้รักษาในโรงพยาบาล เมื่อมีข้อบ่งชี้ เช่น ต้องสังเกตอาการใกล้ชิด ต้องให้สารน้ำ ต้องการออกซิเจน หรือมีอาการซึม กินน้อย มีภาวะขาดน้ำ หรือชักจากไข้สูง

ส่วน การให้ยาต้านไวรัส ในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง ให้เลือกใช้ยาเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเริ่มพิจารณาให้ยานับจากวันที่เริ่มมีอาการ และให้ขนาดยากับจำนวนวันตามคำแนะนำ คือ… “Nirmatrelvir” หรือ “ritonavir” ควรเริ่มใน 5 วัน ตั้งแต่เริ่มมีอาการ จำนวน 5 วัน รวม 10 โด๊ส, “remdesivir” ควรเริ่มใน 5 วัน ตั้งแต่เริ่มมีอาการ จำนวน 3 วัน รวม 3 โด๊ส, “LAAB” ควรเริ่มใน 7 วัน ตั้งแต่เริ่มมีอาการ จำนวน 1 โด๊ส และ “molnupiravir” ควรเริ่มใน 5 วัน ตั้งแต่มีอาการ จำนวน 5 วัน รวม 10 โด๊ส โดยที่ การเลือกใช้ยาต้านไวรัสขึ้นอยู่กับแพทย์พิจารณา ที่อาจจะแตกต่างกันไปตามแต่ละสถานพยาบาล

ทั้งนี้ ช่วงท้าย “คู่มือฉบับล่าสุดที่ปรับปรุงใหม่” นี้มีการระบุถึงอีกหนึ่งกลุ่มอาการที่สำคัญ คือ… “อาการ COVID-19 Rebound” ไว้ว่า… อาจพบกรณีที่ผู้ป่วยบางรายอาการดีขึ้นแล้ว แต่กลับมามีอาการใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ได้รับยา nirmatrelvir หรือ ritonavir และ molnupiravir ที่สามารถมีอาการกลับมาเป็นใหม่ได้ ซึ่งปัจจุบันยังไม่ทราบกลไกที่แน่ชัด แต่ผู้ป่วยมักมีอาการไม่รุนแรง อาการจะดีขึ้นโดยไม่ต้องให้ยาต้านไวรัส …อย่างไรก็ตาม เหตุนี้จึงเป็น “ที่มาคำแนะนำ” ว่า… เมื่อพ้นระยะ 5 วันแรกแล้ว ควรกักตัวต่ออีก 5 วัน หรือออกจากบ้านเท่าที่จำเป็น และสวมหน้ากากทุกครั้ง นั่นเอง

นี่เป็น “แนวปฏิบัติ” กับ “ยุคโควิดรีเทิร์น”

แม้จะของ “หมอ-เจ้าหน้าที่-โรงพยาบาล”

แต่ “ประชาชนรู้ไว้ด้วย” ก็ “มีประโยชน์”

“ป้องกันสับสน” และ “รู้สิทธิ-ใช้สิทธิ”.