พระบรมศาสดา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงจำแนกประเภทของกุศลต่างๆ ให้เป็นไปตามความสามารถและความเหมาะสมของผู้ที่จะนำมาประพฤติปฏิบัติ ขัดเกลากิเลสทั้งทางกาย วาจา ใจ เรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งการกระทำความดี มี 10 ประการ ได้แก่
- 1. บุญสำเร็จจากการให้ทาน สละ บริจาควัตถุสิ่งของแก่ผู้อื่น
- 2. บุญสำเร็จจากการงดเว้นทุจริตทางกาย วาจา
- 3. บุญสำเร็จจากการอบรมจิตให้สงบจากกิเลสและการอบรมเจริญปัญญาละกิเลสทั้งปวง
- 4. บุญสำเร็จจากการประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตน
- 5. บุญสำเร็จจากการสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้อื่น ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
- 6. บุญสำเร็จจากการอุทิศส่วนกุศลที่ได้บำเพ็ญทานมาแล้วให้ผู้อื่นได้รู้และร่วมอนุโมทนา
- 7. บุญสำเร็จจากการยินดีในกุศลที่ผู้อื่นได้กระทำแล้ว
- 8. บุญสำเร็จจากการฟังพระสัทธรรม
- 9. บุญสำเร็จจากการแสดงพระสัทธรรม
- 10. บุญสำเร็จการทำความเห็นให้ถูกต้องตรงตามความจริงของสภาพธรรม
ถึงแม้ว่า บุญกิริยาวัตถุมี 10 ประการ แต่ก็จัดรวมอยู่ในประเภทของบุญกิริยาวัตถุ 3 ประการ ได้แก่ ทาน 3 ศีล 3 ภาวนา 3 กล่าวคือ ทาน 3 ประกอบด้วย การให้ทาน สละ บริจาควัตถุสิ่งของแก่ผู้อื่น การอุทิศส่วนกุศลที่ได้บำเพ็ญทานให้ผู้อื่นได้รู้และร่วมอนุโมทนา และการยินดีในกุศลที่ผู้อื่นได้กระทำแล้ว ศีล 3 ประกอบด้วย การงดเว้นทุจริตทางกาย วาจา การประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตน และการสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้อื่น ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ภาวนา 3 ประกอบด้วย การอบรมจิตให้สงบจากกิเลสและการอบรมเจริญปัญญาละกิเลสทั้งปวง การฟังพระสัทธรรม และการแสดงพระสัทธรรม
ส่วน การทำความเห็นให้ถูกต้องตรงตามความจริงของสภาพธรรม เป็นได้ทั้ง กุศลประเภททาน ศีล หรือภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งมีการทำความเห็นให้ถูกต้องตรงตามความจริงของสภาพธรรมมีหลายขั้นหลายระดับ อาทิ ความเห็นถูกว่าอะไรดีอะไรชั่ว เช่น การพูดไม่จริงเป็นสิ่งที่ไม่ดี ความซื่อสัตย์และความกตัญญูกตเวทีเป็นสิ่งที่ดี ฯลฯ ความเห็นถูกว่าควรขัดเกลากิเลสด้วยการให้ทานเพื่อเปลื้องความตระหนี่ หรือความติดข้องในวัตถุออกเสียบ้าง ความเห็นถูกว่าควรจะเป็นผู้มีศีลโดยเว้นการทุจริตทางกาย วาจา ซึ่งเป็น การขัดเกลากิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลงให้เบาบางลง ความเห็นถูกว่าควรเจริญสมถภาวนาระงับกิเลสซึ่งเป็นเหตุทำให้จิตใจเศร้าหมอง ความเห็นถูกว่าควรเจริญวิปัสสนาภาวนาดับกิเลสให้หมดสิ้น
การเจริญกุศลโดยการทำความเห็นให้ถูกต้องตรงตามความจริงของสภาพธรรมนั้น จะต้องพิจารณาให้รู้ลักษณะที่ดีและลักษณะที่ชั่วของสภาพธรรมแต่ละชนิดให้ละเอียดมากขึ้นและให้รู้แน่ชัดมากขึ้น ถ้าไม่รู้ลักษณะที่ดีและลักษณะที่ชั่วของสภาพธรรมแต่ละชนิดด้วยการคิดพิจารณาไตร่ตรอง ต้องอาศัยการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงไว้
เวลาที่จิตเป็นกุศลกระทำความเห็นให้ถูกต้องตรงตามความจริงของสภาพธรรม ความเข้าใจถูกในสภาพธรรมแต่ละชนิดก็ย่อมจะเป็นเหตุที่ทำให้เจริญกุศลอื่นๆยิ่งขึ้นด้วย เช่น เมื่อรู้ว่าความจริงใจ ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นสิ่งที่ดีงามก็จะทำให้รังเกียจการพูดเท็จ การหลอกลวง การคดโกง ทั้งทางกาย วาจาและใจ เมื่อรังเกียจความชั่วก็ย่อมจะละความชั่วและเจริญความดีบ่อยๆ จนกระทั่งเคยชินเป็นอุปนิสัยที่ดีงาม เช่น อุปนิสัยในการให้ทาน อุปนิสัยในการรักษาศีล อุปนิสัยในการเจริญภาวนา
ชาวพุทธพึงทราบว่า การให้ทานเพื่อสงเคราะห์แก่ผู้อื่นต้องมีความพอดี เหมาะควรแก่ฐานานุรูปของแต่ละบุคคล ถ้าให้ทานเกินความพอดี มากไปหรือหย่อนไปก็จะนำความทุกข์และความเดือดร้อนมาให้ ในการให้ทานนั้นจะต้องรู้ว่า กุศลจิตเกิดมากกว่าอกุศลจิต หรืออกุศลจิตเกิดมากกว่ากุศลจิต ฉะนั้นการให้ทานจึงควรเป็นไปใน ลักษณะกุศลจิตเกิดมากกว่าอกุศลจิต
ผู้ที่มีอัธยาศัยในการให้ทานย่อมเห็นคุณประโยชน์ของการให้ทานว่าเป็นการละกิเลส ย่อมมีการฝึกฝน บำเพ็ญการให้ทานให้มากยิ่งขึ้นในทุกๆ ทาง เมื่อให้ทานไปแล้วก็ไม่มีความหวั่นไหว ไม่มีความเศร้าหมอง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ทั้งนี้เป็นเพราะ เจตนาในการให้ทานมีความผ่องใสทั้ง 3 กาล คือ ตอนที่คิดจะให้ทาน ขณะที่กำลังให้ทาน และภายหลังที่ให้ทานไปแล้ว การให้ทานที่มีเจตนาที่ผ่องใสทั้ง 3 กาล อานิสงส์คือผลที่จะได้รับนั้นก็มีมากกว่า เพราะว่ากุศลจิตเกิดมากกว่า และกุศลจิตนั้นผ่องใสกว่า ประการสำคัญการให้ทานที่ดีที่สุด คือ การให้ทานโดยไม่ได้หวังผล ไม่ได้หวังลาภ ไม่ได้หวังยศ ไม่ได้หวังสรรเสริญต่างๆ แต่ ให้ทานนั้นเพราะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ดี เป็นการกระทำที่ควรเจริญเพราะสามารถขัดเกลากิเลสให้เบาบางลงได้ และการให้ทานในลักษณะนี้ก็ไม่มีโลภะซึ่งเป็นความต้องการผล
…………………………………..
คอลัมน์ : ว่ายทวนน้ำ
โดย “ทวีศักดิ์ อุ่นจิตติกุล”
อ่านเพิ่มเติมที่.. แฟนเพจ : สาระจากพระธรรม
อ่านเพิ่มเติม :
– ละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใส ใช่ว่าใครๆ ก็ทำได้
– พระสังฆราชเผยแผ่ธรรมะที่มีจริง ในวันมาฆบูชา
– ตั้งสติก่อนสตาร์ต เอาสติที่ไหนมาตั้ง ตั้งอย่างไร?