เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เผยแพร่พระคติธรรม เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เนื่องในวันมาฆบูชา 16 กุมภาพันธ์ 2565 ความว่า ดีถีมาฆบูชา อันเป็นวันจาตุรงคสันนิบาต ได้เวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่งแล้ว ดิถีเช่นนี้เมื่อกว่าสองพ้นห้าร้อยปีก่อน สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประทานหลักการอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาไว้ 3 ประการ ได้แก่ การไม่กระทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม และการทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว
“จิต” เป็นสภาพรู้ที่ปรากฏมีอยู่ในทุกชีวิต ซึ่งมีสภาพธรรมอีกประเภทหนึ่งเรียกว่า “เจตสิก” เกิดร่วมด้วย เจตสิกกลุ่มที่เรียกว่า “สังขาร” อาจปรุงแต่งให้จิตเป็นไปในทางสามฝ่าย กล่าวคือ ฝ่ายดี ฝ่ายเลว และฝ่ายที่เป็นกลาง การจะทำจิตให้ผ่องแผ้วได้ตามหลักการอันเป็นหัวใจของพระศาสนา จำเป็นต้องเริ่มขัดเกลาตนเองให้มีปกติอดทนอดกลั้นที่จะไม่ทำบาป พอใจขวนขวายที่จะทำบุญ คือการบำเพ็ญทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาอยู่เสมอ เพื่อฝึกจิตให้โน้มน้าวไปสู่วิถีสะอาด คอยชำระซักฟอกไปจนกว่าธุลีแห่งความมัวหมองจะลบเลือนหายไป ทำให้เข้าถึงสภาวะอันผ่องแผ้วด้วยจิตฝ่ายดี มีกุศลจิตเป็นเนืองนิตย์
การฝึกจิตอยู่เสมอจะเป็นเหตุปัจจัยนำมาซึ่งความหลุดพ้นจากห้วงทุกข์ ถึงแม้ยังดำเนินไปไม่ถึงที่สุดในฝ่ายคดีธรรม แต่ก็ย่อมยังอำนวยประโยชน์สุขในฝ่ายคดีโลก คือทำให้ผู้ฝึกจิตเป็นสุจริตชน มีการงานสะอาดปราศจากโทษ มีใจสงบระงับ ไม่ต้องกลัวโทษทัณฑ์จากกฎหมายบ้านเมือง ทั้งยังเป็นเครื่องประคับประคองจิตให้ไม่เดือดร้อนต่อโลกธรรม ไม่แสดงอาการขึ้นลง
เมื่อประสบกับการมีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา สุข และทุกข์ รวมความได้ว่าจิตที่ผ่องแผ้ว ต้องเกิดจากการฝึก เมื่อฝึกแล้วจิตก็จะมั่นคงไม่หวั่นไหว สมตามพระพุทธานุศาสนีที่ว่า “จิตฺตํ ทนฺตํ สุขาวหา” ความว่า “จิตที่ฝึกดีแล้ว นำสุขมาให้” ด้วยประการฉะนี้
ขอพระสัทธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงดำรงมั่นอยู่ในโลกนี้ตลอดกาลนาน และขอพุทธบริษัททั้งหลายจงพร้อมเพรียงกันศึกษาพระสัทธรรมนั้น เพื่อบรรลุถึงความงอกงามไพบูลย์ยิ่งๆ ขึ้นสืบไป เทอญ
เพื่อให้ชาวพุทธได้ตระหนักรู้และตื่นรู้ถึงคุณค่าและความสำคัญในการเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนาที่ประกอบด้วยปัญญา โดยมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง จะได้นำพาชีวิตให้มีความเป็นปรกติสุขตามอัตภาพของแต่ละบุคคล มีการสะสมปัญญาทีละเล็กทีละน้อยตามลำดับขั้น เป็นเหตุนำไปสู่การมีความเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ) ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างแท้จริงต่อชีวิตทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
วันมาฆบูชา เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้ประทานคติธรรมแก่ชาวพุทธให้รู้ธรรมะที่มีจริง (สัจธรรม) ซึ่งมีความละเอียดลึกซึ้งยิ่ง ยากที่จะเข้าใจได้ หากไม่มีการศึกษาพระธรรมคำสอนที่ตรงตามพระพุทธพจน์ในพระไตรปิฎก พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของผู้มีปัญญา อุบัติขึ้นจากการตรัสรู้ของพระบรมศาสดา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยพระองค์เองด้วยพระปัญญาคุณและพระบริสุทธิคุณ ซึ่งทรงบำเพ็ญพระบารมีมาเป็นเวลา 4 อสงไขยแสนกัป พระองค์ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณซึ่งเป็นความจริงอันถึงที่สุด (อริยสัจธรรม) เมื่อ 45 ปีก่อนพุทธศักราช หลังจากนั้นตลอดระยะเวลา 45 พรรษา ทรงมีพระมหากรุณาคุณเผยแผ่พระธรรมคำสอนแก่สัตว์โลกให้พ้นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิด (สังสารวัฏ)
ขอน้อมนำความบางตอนในคติธรรมที่ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ได้ประทานไว้ในวันมาฆบูชา เพื่อให้ชาวพุทธได้พิจารณาไตร่ตรองเป็นปัญญาของตนเอง ดังนี้
“จิต” เป็นสภาพรู้ที่ปรากฏมีอยู่ในทุกชีวิต ซึ่งมีสภาพธรรมอีกประเภทหนึ่งเรียกว่า “เจตสิก” เกิดร่วมด้วย เจตสิกกลุ่มที่เรียกว่า “สังขาร” อาจปรุงแต่งให้จิตเป็นไปในทางสามฝ่าย กล่าวคือ ฝ่ายดี ฝ่ายเลว และฝ่ายที่เป็นกลาง การจะทำจิตให้ผ่องแผ้วได้ตามหลักการอันเป็นหัวใจของพระศาสนา จำเป็นต้องเริ่มขัดเกลาตนเองให้มีปกติอดทนอดกลั้นที่จะไม่ทำบาป พอใจขวนขวายที่จะทำบุญ คือการบำเพ็ญทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาอยู่เสมอ เพื่อฝึกจิตให้โน้มน้าวไปสู่วิถีสะอาด คอยชำระซักฟอกไปจนกว่าธุลีแห่งความมัวหมองจะลบเลือนหายไป ทำให้เข้าถึงสภาวะอันผ่องแผ้วด้วยจิตฝ่ายดี มีกุศลจิตเป็นเนืองนิตย์
ความหมายของ “จิต” หมายถึง สภาพรู้ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ในสิ่งปรากฏทางปัญจทวาร คือ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และมโนทวาร คือ ทางใจ “จิต” เป็นนามธรรมหรือนามธาตุหรือนามขันธ์ ไม่มีรูปร่างสัณฐาน เกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วตามเหตุปัจจัย
“จิต” มี 89 ดวง (ประเภท) หรือ 121 ดวง จิต 89 ดวง ได้แก่ กามาวจรจิต 54 ดวง รูปาวจรจิต 15 ดวง อรูปาวจรจิต 12 ดวง โลกุตตรจิต 8 ดวง จิต 121 ดวง ได้แก่ กามาวจรจิต 54 ดวง รูปาวจรจิต 15 ดวง อรูปาวจรจิต 12 ดวง โลกุตตรจิต 40 ดวง
โสภณจิต (จิตที่ดีงาม) เป็นจิตที่มีเจตสิกประกอบร่วมด้วย เกิดกับจิต 3 ชาติ ได้แก่ กุศลชาติ วิบากชาติ กิริยาชาติ
อกุศลจิต (จิตที่ไม่ดี) เป็นจิตที่มีเจตสิกประกอบร่วมด้วย มี 14 ดวง ได้แก่ โมจตุกเจตสิก 4 ดวง คือ โมหะ อหิริกะ อโนตัปปะ อุทธัจจะ โลติกเจตสิก 3 ดวง คือ โลภะ มานะ ทิฏฐิ โทจตุกเจตสิก 4 ดวง คือ โทสะ อิสสา มัจฉริยะ กุกกุจจะ ถีนทุกเจตสิก 2 ดวง คือ ถีนะ มิทธะ และวิจิกิจฉาเจตสิก อีก 1 ดวง
ความหมายของ “เจตสิก” หมายถึง สภาพรู้ที่เกิดกับจิต รู้สิ่งเดียวกับจิต เป็นนามธรรมหรือนามธาตุหรือนามขันธ์ ไม่มีรูปร่างสัณฐาณ ทำหน้าที่ปรุงแต่งจิต เกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต เกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วตามเหตุปัจจัย
เจตสิกมี 52 ดวง (ประเภท) จำแนกเป็น 3 พวกใหญ่ๆ ได้แก่
พวกที่ 1 อัญญสมานาเจตสิก 13 ดวง เป็นเจตสิกที่เสมอกันกับจิตอื่น คือ เกิดกับจิตชาติใดก็เป็นชาตินั้น เกิดได้กับจิตทั้ง 4 ชาติ ได้แก่ กุศลชาติ อกุศลชาติ วิบากชาติ กิริยาชาติ
พวกที่ 2 อกุศลเจตสิก 14 ดวง เป็นเจตสิกที่เกิดร่วมกับอกุศลจิตเท่านั้น แต่ก็ยังแยกประเภท เช่น โลภเจตสิกเกิดได้กับโลภมูลจิต โทสเจตสิกเกิดได้กับโทสมูลจิต โมหเจตสิกเกิดได้กับอกุศลจิตทุกดวง
พวกที่ 3 โสภณเจตสิก 25 ดวง เป็นเจตสิกที่เกิดร่วมกับโสภณจิต ซึ่งโสภณจิตแต่ละดวงมีเจตสิกเท่ากันบ้าง ไม่เท่ากันบ้าง แล้วแต่การประกอบของเจตสิก
โสภณเจตสิก 25 ดวง ได้แก่ โสภณสาธารณเจตสิก 19 ดวง วิรตีเจตสิก 3 ดวง ได้แก่ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ อัปปมัญญาเจตสิก 2 ดวง ได้แก่ กรุณา มุทิตา และปัญญาเจตสิก อีก 1 ดวง
ความหมายของ “สังขาร” ในปฎิจจสมุปบาทซึ่งเป็นธรรมะที่มีองค์ธรรมอาศัยกันและกันเกิดขึ้นเป็นไป มีทั้งธรรมะฝ่ายเกิดและธรรมะฝ่ายดับ ธรรมะฝ่ายเกิดเป็นมิจฉาปฏิปทา ธรรมะฝ่ายดับเป็นสัมมาปฏิปทา
สังขาร 3 ได้แก่ ปุญญาภิสังขาร ซึ่งเป็นเจตนาเจตสิกที่เกิดกับกามาวจรกุศลจิตและรูปาวจรกุศลจิต อปุญญาภิสังขาร ซึ่งเป็นเจตนาเจตสิกที่เกิดกับอกุศลจิต อเนญชาภิสังขาร ซึ่งเป็นเจตนาเจตสิกที่เกิดกับอรูปณานกุศลจิต
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงจำแนกสภาวธรรมเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ โลกียธรรม ประเภทหนึ่ง เป็นสภาพธรรมที่เกิดดับ มีสามัญลักษณะ 3 ประการ ได้แก่ ไม่เที่ยง (อนิจจัง) เป็นทุกข์ (ทุกขัง) ไม่ใช่ตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ (อนัตตา) ซึ่งเป็นสังขารธรรม สังขตธรรม
โลกุตรธรรม อีกประเภทหนึ่ง เป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิดดับ เป็นสภาพธรรมเหนือโลกหรือสภาพธรรมที่พ้นจากโลก คือ พระนิพพาน ซึ่งเป็นวิสังขารธรรม อสังขตธรรม
ปรมัตถธรรม คือ สภาพธรรมตามความเป็นจริง เป็นอภิธรรมซึ่งเป็นสภาวธรรมอันยิ่งใหญ่ ละเอียด ลึกซึ้ง สุขุม เป็นสภาพธรรมที่เป็นไปตามเหตุปัจจัย ปรมัตถธรรม 4 ได้แก่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ในที่นี้ขออธิบายความหมายของ “รูป” เพิ่มเติม “รูป” หมายถึง สภาพที่ไม่รู้ แต่ถูกรู้ เกิดดับตามเหตุปัจจัย เป็นรูปธรรมหรือรูปธาตุหรือรูปขันธ์ เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตา เป็นสิ่งที่ปรากฏให้ได้ยินทางหู เป็นสิ่งที่ปรากฏให้ได้กลิ่นทางจมูก เป็นสิ่งที่ปรากฏให้ลิ้มรสทางลิ้น เป็นสิ่งที่ปรากฏให้รู้กระทบสัมผัสทางกาย
ชาวพุทธคงจะคุ้นหูกับคำสวดที่ว่า กุศลาธรรมา อกุศลาธรรมา อพยากตาธรรมา เวลาไปงานศพซึ่งมีการสวดพระอภิธรรม กุศลาธรรมา หมายถึง ธรรมะที่เป็นกุศล อกุศลาธรรมา หมายถึง ธรรมะที่เป็นอกุศล อพยากตาธรรมา หมายถึง ธรรมะที่ไม่เป็นกุศล ธรรมะที่ไม่เป็นอกุศล เป็นธรรมะที่เป็นกลาง
อ่านเพิ่มเติม :
ชีวิตกับธรรมะที่มีจริง (สัจธรรม)
ชีวิตกับธรรมะที่มีจริง(สัจธรรม) ตอน 2
ชีวิตกับธรรมะที่มีจริง(สัจธรรม) ตอน 3
…………………………………..
คอลัมน์ : ว่ายทวนน้ำ
โดย “ทวีศักดิ์ อุ่นจิตติกุล”
อ่านเพิ่มเติมที่.. แฟนเพจ : สาระจากพระธรรม