ซุ่มฝึกซ้อมมานาน 3 ปี สำหรับ ทิกเกอร์-อชิระ เทริโอ จนได้เป็นศิลปินเดี่ยวคนแรกจากค่าย G’NEST เรียกว่า ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นเลยจริง ๆ เพราะมีคุณพ่อคุณแม่ที่เป็นศิลปินในตำนานอย่าง นิโคล เทริโอ และ แมว-จิรศักดิ์ ปานพุ่ม ล่าสุด ทิกเกอร์ได้ควงคุณแม่มาเปิดใจในรายการโต๊ะหนูแหม่ม พร้อมเคลียร์ดราม่าใช้เส้นพ่อแม่จนได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินสังกัดค่ายดัง

ทิกเกอร์ เผยว่า “ตอนนี้มีเพลงของตัวเองแล้วก็รู้สึกว่าฟินครับ ใจฟูมาก เพราะผมตั้งใจทำโปรเจกต์นี้มากเราก็แฮปปี้มาก แบบเราไม่อยากจะเชื่อ การเป็นศิลปินความฝันนี้เริ่มมาเพราะคุณแม่ครับ เพราะมีงานวันแม่ที่ต้องร้องที่เชียงใหม่ แล้วเค้าอยากให้ผมเล่นกีตาร์และร้องเพลง อันนั้นคือก้าวแรกในการเล่นกีตาร์เป็นศิลปิน เหมือนเค้ารอของเสียงเพลง ก็เล่นไปสักพักและเราได้ลองเขียนเพลงเองทำเองเองโมเมนต์นั้นเป็นโมเมนต์ที่เราคิดว่าอันนี้เป็นเส้นทางที่เราอยากไปในชีวิต เราก็ฝึกฝนมานาน เรียนรู้อะไรต่าง ๆ มาเยอะมาก จนครูถามว่าเดี๋ยวมีค่ายใหม่เปิดออดิชั่นนะ เราสนใจมั้ย ซึ่งอันหนึ่งก็เป็นวันแรกเลยที่เราร้องเพลงและเล่นกีตาร์ให้ใครฟัง ที่คนมองว่าใช้เส้นสายพ่อแม่ ผมใช้เวลาฝึกฝนนาน 3 ปี เพราะคนที่ใจร้อนคงทิ้งฝันไปนานแล้ว ด้วยความที่มันเป็นแพสชั่นตอนผมเรียนดนตรีของตัวเองไปหาครูเองมันเป็นแพสชั่น แต่พอเป็นการเทรนมันเป็นแพตเทิร์นที่เราต้องรับผิดชอบ และยังช่วยปรับมายด์เซตของเราให้เหมือนมีความรับผิดชอบมากขึ้นกับเวลากับตัวเองกับสิ่งที่ผมทำ มันเพิ่มไฟให้กับตัวเอง”


นิโคล เผยว่า “ลูกมีเพลง มันน่ารัก เราถึงขั้นน้ำตาไหล วันแรกที่นั่งดูน้ำตาคลอเลยซึ่งมันเป็นน้ำตาแห่งความภาคภูมิใจ มันก็เป็นเหมือนรอยยิ้มแต่จะไต้ขึ้นไปอีกระดับ เป็นความภาคภูมิใจและดีใจกับลูกแค่นั้นเอง ใจฟูพองโตแล้วก็อิ่มเอมมีความสุข ที่พ่อแม่ไปดูเขาเดบิวต์สเตจ คือเค้าเลือกเพลงของคุณพ่อไปร้องด้วย ตอนแรกร้องเพลงของเราเราไม่ร้องไห้ แต่พอร้องเพลงคนของเธอ (เพลงของพ่อแมว) มันเป็นเพลงที่เราชอบมาตั้งนานแล้ว และเพลงนี้มันโดน พอทิกเกอร์ร้องทุกครั้งเลยเราก็จะร้องไห้ ลูกเซ็นสัญญากับแกรมมี่เหมือนเราได้กลับบ้านอีกครั้ง เหมือนเราได้เป็นคนเซ็นสัญญาเอง แต่มันมากไปกว่านั้นเพราะเขาคือลูกของเรา มันล้นกว่าความรู้สึกของเราที่ได้เป็นศิลปินเอง เหมือนเราได้พาเค้าไปอยู่ในที่จุดนั้นได้เราก็หมดห่วงแล้วเค้าได้ทำในสิ่งที่ฝันก็เป็นจริงแล้ว พอเซ็นน้ำตามันก็ไหลอีก ร้องไห้ตรงโต๊ะเซ็นสัญญาแตกฮือกันทั้งห้องเลย ถ้าถามว่ากลัวไหมทุกคนก็ต้องมีความกังวลหรือเป็นห่วงดีกว่า แต่จะทำอะไรก็ตามแต่ถามว่าน่ากลัวไหมก็คงไม่เท่าไร ซึ่งเราก็รู้สึกว่าการที่เขาอยู่ในสายอาชีพที่เราทำดีกว่า อย่างน้อยนึกขึ้นได้ว่ามันเป็นแบบนี้นะ งานที่เราทำเราสามารถให้คำปรึกษาหรือแชร์ประสบการณ์กัน”