วานนี้ (10 ส.ค. 2566) กระทรวงสาธารณสุขของประเทศไซปรัส ตัดสินใจให้เริ่มใช้ยาต้านไวรัสซึ่งปกติใช้สำหรับการรักษาโรคโควิด-19 ในมนุษย์ เพื่อรักษาแมวที่ป่วยเป็นโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Feline Infectious Peritonitis) หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า FIP หลังที่เกิดสถานการณ์แมวป่วยโรคนี้ในไซปรัสจนตายไปแล้วหลายพันตัว 

คริสโตดูโลส พิพิส ผู้อำนวยการหน่วยงานบริการสัตวแพทย์ของไซปรัส กล่าวว่าทางกระทรวงสาธารณสุขของประเทศได้เตรียมสำรองยาต้านไวรัส ‘โควิด’ เพื่อใช้ในสถานการณ์ที่เข้าขั้นวิกฤตนี้ไว้แล้ว 500 กล่อง ถือเป็นยางวดแรกจากจำนวนทั้งหมดที่จะมีให้เบิกใช้  2,000 กล่อง แต่ละกล่องมียา 40 แคปซูล เท่ากับว่าไซปรัสจะมียาต้านไวรัสที่ใช้สำหรับรักษาแมวทั้งหมดประมาณ 80,000 เม็ด

โรค FIP นี้ แม้จะเกิดจากไวรัส แต่จะไม่ติดต่อจากแมวสู่คน สถานการณ์โรค FIP ระบาดในไซปรัสตอนนี้ถือว่าน่าเป็นห่วงอย่างมาก เพราะมีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในหมู่ประชากรแมวในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

นักเคลื่อนไหวเพื่อพิทักษ์สิทธิสัตว์ประจำท้องถิ่นอ้างว่า มีแมวที่ตายเพราะโรคนี้ไปแล้วร่วม 300,000 ตัว แต่ทางสมาคมสัตวแพทย์แห่งไซปรัสยืนยันว่าเป็นการกล่าวอ้างเกินกว่าเหตุ โดยจากการสำรวจข้อมูลของทางคลินิกสัตวแพทย์ทั่วประเทศราว 35 แห่งนั้น นับจำนวนแมวที่ตายเพราะโรค FIP ได้ประมาณ 8,000 ตัว

แมวที่ป่วยเป็นโรค FIP สามารถรักษาให้หายได้ราว 85% แต่ความยากลำบากของการรักษาอยู่ที่ราคาของยาซึ่งแพงมาก ทำให้ผู้เลี้ยงแมวหรือผู้ดูแลแมวไร้เจ้าของไม่สามารถจ่ายค่ารักษาได้ไหว ดังนั้น การที่รัฐบาลไซปรัสยอมอนุมัติให้ใช้ยาต้านไวรัสสำหรับคนมารักษาแมวในครั้งนี้จึงได้รับเสียงชื่นชมจากกลุ่มคนรักสัตว์ทั่วประเทศ หลังจากที่มีการรณรงค์เพื่อหาทางให้ผู้เลี้ยงหรือดูแลแมวสามารถเข้าถึงการรักษาโรค FIP ในราคาที่ไม่แพงจนเกินไป

FIP เป็นโรคที่เกิดกับสัตว์ประเภทแมวซึ่งมีการค้นพบมาตั้งแต่ปี 2506 เชื้อสามารถแพร่กระจายทางอุจจาระของแมว อาการของแมวที่ป่วยเป็นโรคนี้ ได้แก่ เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลด มีไข้ ซึม อ่อนแรง

สำหรับประเทศไซปรัสนั้น มีที่ตั้งอยู่ในเขตตะวันออกกลาง มีลักษณะเป็นเกาะและมีประชากรแมวอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากจนนับไม่ถ้วน ซึ่งสืบสาวที่มาย้อนกลับไปได้หลายพันปี ตั้งช่วงก่อนเริ่มใช้คริสตศตวรรษด้วยซ้ำ แมวส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตและเดินเตร็ดเตร่ในย่านชุมชนอย่างอิสระ จึงมีฉายาประจำประเทศว่าเป็น “เกาะแห่งหมู่แมว”

ที่มา : cbsnews.com

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES